กลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี เบอร์ 2 ของพรรคเพื่อไทย ออกปากในสื่อส่วนตัวว่า “บอร์ด กกท.และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ หรือรัฐบาลยุคปัจจุบัน” ควรทบทวนให้กลับมติบอร์ดกกท. “ไม่ควรจะยกเลิก” การเป็นเจ้าภาพกีฬาเอเชี่ยนอินดอร์ และมาเชียลอาร์ตเกมส์ ครั้งที่ 6 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพเดือน พ.ย.2566 นี้ เพราะจะกระทบหลายด้าน รวมทั้งจะขาดประโยชน์หลายอย่างของชาติ
สิ่งที่น่าจับตา ไม่ใช่แค่ประเด็นที่ “บิ๊กเพื่อไทย” ท่านนี้เอ่ยเท่านี้..เพราะมันเป็นแค่สัญญาณแรกเท่านั้น
แต่มันยังมีหลายมุมต่อจากเหตุนี้ ที่ตรงกับการสนทนาของคนในวงการกีฬากลุ่มหนึ่ง ที่มองไว้ก่อนแล้วว่า พรรคเพื่อไทยสนใจเก้าอี้กีฬา และมีการคิดเตรียมการไว้แล้ว ว่าหากเพื่อไทยได้ร่วมรัฐบาล ในฐานะพรรคเบอร์ 2 นั้น โอกาสที่เพื่อไทยจะได้ครอบครองเก้าอี้หัวโต๊ะกีฬาที่หมายถึง รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกีฬาจากการมอบหมายของนายกรัฐมนตรี….มีโอกาสมากที่สุด
เพราะพรรคเบอร์ 1 คงมุ่งเน้นทางด้านคุมกำลังด้านกระทรวงเศรษฐกิจและความมั่นคง
และงานด้านกีฬาน่าจะเป็นทางเลือกแบบ “ไม่ต้องต่อรองแลกเปลี่ยนกระทรวงกับพรรคอื่นมากมายนัก”
และหากเช็คย้ำถึงการสนทนาระหว่าง “อดีตผู้นำองค์กรกีฬา” กับ บิ๊กเพื่อไทย ระดับหัวขบวนที่จะต้องได้เป็นรัฐมนตรีแน่ๆ หากเพื่อไทยร่วมรัฐบาล ก็ระบุตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่า ถ้าเพื่อไทย เข้ามาคราวนี้ “กีฬา” คือส่วนสำคัญที่ต้องเลือก เพราะวันนี้กีฬาไม่ธรรมดา เพราะมีทั้งงานและเงิน (จากกองทุน) ซึ่งสามารถสร้างความสุขเพื่อสังคมได้เต็มที่ นี่คือการอ้างอิงแรก ว่าเพื่อไทยเล็งจะมาคุมกีฬา
อ้างอิงที่สอง ว่าเพื่อไทยจะมาคุมกีฬา และควรเป็นเช่นนั้น เพราะเนื้องาน กับประสบการณ์ของบุคลากรในพรรคนั้น พร้อมมากกว่าพรรคอื่น ๆ ไล่เรียงจากกำลังหลักที่น่ามองคือ “บิ๊กโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง ที่เครดิตส่วนตัวสูง จากที่เคยคุมกระทรวงการคลัง พาณิชย์ เคยคุมระดับกองทุนใหญ่ ๆ มาแล้ว และ บิ๊กโต้ง คือ ผู้ริเริ่มก่อร่างสร้าง “กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ” มากับมือ ในยุคที่คุมกระทรวงการคลัง ฉะนั้น “บิ๊กโต้ง” คือคนตรงงานเป็นเบอร์แรกๆ ส่วนอีกท่านคือ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” อดีต รมต.หลายกระทรวง จริง ๆ ท่านนี้ก็คลุกในวงการกีฬามาตลอด สำคัญคือเคยผ่านการเป็น รมต.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬามาแล้ว จึงเรียกว่า เป็นคนตรงงานเบอร์ต้น ๆ อีกคน และต้องไม่ลืม คือ “บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดที่คร่ำหวอดอยู่กับวงการกีฬามายาวนาน และรู้จริงในวงการกีฬามากที่สุด ซึ่งปัจจุบันคือประธานที่ปรึกษานโยบายด้านกีฬา พรรคเพื่อไทย ซึ่งน่าจะเป็นพรรคเดียวที่มีการแถลงนโยบายด้านกีฬาในตอนหาเสียงที่ชัดเจน และ “บิ๊กเอ” นี่แหละที่นำเสนอนโยบายนี้ด้วยตัวเอง
จาก 2 ข้อของการอ้างอิง ที่มาจากความสนใจตั้งใจ และคนที่เหมาะสมแล้วนั้น จึงสรุปในขั้นต้นได้เลยว่า “เพื่อไทย” โอกาสที่จะครองหัวโต๊ะกีฬามีสูงมาก
แล้วจะครองโต๊ะใดบ้างนั้น ก็ต้องไปดูตำแหน่งของ “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีครอบครองอยู่ หลัก ๆ คือ ประธานกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ ประธานกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย ประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
และก็ไปดูตำแหน่งของท่าน พิพัฒน์ รัชกิจประการ ที่กำลังจะกลายเป็นอดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ครองอยู่ อาทิ การเป็นรองประธานของ “บิ๊กป้อม” ใน 3 ตำแหน่งบนนี้ และ โดยตำแหน่งจะเป็นประธานกรรมการกีฬาอาชีพ ประธานกรรมการกีฬามวยอีก
นี่คือตำแหน่งที่ตามมาจากวงการกีฬาของ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ที่เพื่อไทยจะเข้ามาดู หากว่าโควตาที่ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีผู้นั้นได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้กำกับดูแลกีฬา และ อีกคนพรรคเลือกในโควตาให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ฉะนั้น จึงสรุปสุดท้ายได้ว่า โอกาส “เพื่อไทย” โคตรสูงกับการครองเก้าอี้กีฬาในฝ่ายบริหารของรัฐบาลงวดหน้า ส่วนจะมีชื่อใครบ้าง ก็น่าจะมองจาก “เศรษฐา-กิตติรัตน์-สมศักดิ์-พิมล” เป็นหลัก แล้วแต่ใครจะถูกพรรคเลือกมอบในบทบาทใด
นี่คือความน่าจะเป็นจากบทสรุปของ “กลุ่มสนทนา” ซึ่งอีกไม่นานก็จะรู้ว่าจะเป็นจริงแค่ไหน.