ทำความรู้จัก…“เฮ็ดดิ คราฟท์” สร้างอาชีพคนพิการด้วยทุนพื้นถิ่น ภายใต้หลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น มจธ.

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

“เฮ็ดดิ คราฟท์” แบรนด์สินค้าหัตถกรรมฝีมือคนพิการจากตำบลเต่างอย จังหวัดสกลนคร พร้อมยกระดับสู่ผู้ประกอบการในพื้นที่ (Local Enterprise) เน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่แตกต่าง สร้างอาชีพ สร้างรายได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้ “หลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น” ในโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ มจธ.

รศ. ดร. สุวิทย์ แซ่เตีย

รศ. ดร. สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. กล่าวว่า ที่มาของหลักสูตรนี้ มาจากคณะทำงานโครงการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ มจธ. ที่ได้ดำเนินโครงการฝึกอบรม-ฝึกงานคนพิการ เพื่อเตรียมความพร้อมให้คนพิการเข้าสู่การทำงานในสถานประกอบการ ตั้งแต่ ปี 2557 จนถึงปัจจุบัน (โดยใช้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ มาตรา 35 ในการขับเคลื่อน) โดยหลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น เป็นหนึ่งในสามหลักสูตรที่จัดขึ้น ภายใต้โครงการฯ ในรุ่นที่ 8 เริ่มต้นเมื่อปี 2564 เพื่อเพิ่มศักยภาพคนพิการที่ต้องการทำงานอาชีพอิสระ และอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เนื่องจากข้อมูลการวิจัย พบว่า แม้ว่ามีคนพิการที่ได้รับการจ้างงานมากกว่า ร้อยละ 50 ของผู้เข้าร่วมโครงการฯ แต่มีคนพิการส่วนหนึ่งมีความต้องการประกอบอาชีพอิสระ และมีข้อจำกัดต่อการทำงานในสถานประกอบการ เช่น การเดินทางไปทำงาน ไม่มีวุฒิการศึกษา หรือ อายุที่มากเกินไป ฯลฯ รวมถึงสถานประกอบการส่วนใหญ่อยู่ในเมือง คนพิการที่อาศัยอยู่นอกเขตเมือง ไม่สามารถเดินทางหรือ ย้ายถิ่นฐานไปทำงานได้

“นี่จึงเป็นที่มาของหลักสูตรการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่นโดยฝีมือคนพิการ ณ ศูนย์การเรียนรู้บ้านนางอย-โพนปลาโหล จ.สกลนคร ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่อยู่ในการกำกับดูแลของ มจธ. และถือเป็นหลักสูตรนำร่องที่จัดอบรมขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวัด และยังเป็นการทำงานร่วมกับชุมชนผ่านเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน หลักสูตรนี้จัดขึ้นเพื่อให้คนพิการที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ทั้งที่มีทักษะการทำงานหัตถกรรมอยู่แล้ว และผู้ที่ต้องการพัฒนาทักษะเพิ่มเติม ได้รวมกลุ่มกันฝึกฝนและทำงานที่บ้านได้ สามารถสร้างคุณค่าทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สร้างรายได้ สร้างคุณค่าทางจิตใจและสังคมวัฒนธรรม ด้วยทุนที่มีอยู่ในพื้นที่ และให้เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองได้

ขั้นตอนการทำผงสีธรรมชาติ

สำหรับการดำเนินงานของหลักสูตรฯ กลุ่มคนพิการจะได้รับการบ่มเพาะทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ เป็นระยะเวลา 6 เดือน หรือ 600 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ และได้รับเบี้ยเลี้ยง อาหารกลางวัน และค่าเดินทางตลอดระยะเวลาในการฝึกอบรม ซึ่งคนพิการที่เรียนในหลักสูตรนี้ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับพื้นฐานความรู้ที่จำเป็น เช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์เบื้องต้น การออกแบบชิ้นงาน การใช้สี การถ่ายภาพผลิตภัณฑ์ การสื่อสารกับลูกค้า การใช้สื่อสังคมออนไลน์ การทำตลาด การทำบัญชี การคำนวณต้นทุน การตั้งราคา การบริหารจัดการธุรกิจ ฯลฯ นอกจากนี้ กลุ่มคนพิการ รุ่นที่ 3 ของหลักสูตร ยังได้โอกาสเรียนรู้ การต่อยอดด้านความคิดสร้างสรรค์จากกลุ่มศิลปิน อินฟลูเอนเซอร์ และผู้ประกอบธุรกิจด้านงานคราฟท์ ที่ได้นำความรู้มาแบ่งปันและถ่ายทอดให้กับคนพิการในหลักสูตร ทำให้ได้ผลงานที่มีความสวยงามและแปลกใหม่ แตกต่างจาก 2 รุ่นที่ผ่านมา ยกระดับจากผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาพื้นถิ่นไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น สามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และตรงใจผู้บริโภคในวงกว้างยิ่งขึ้น และจากความสำเร็จนี้ มจธ.จึงเตรียมต่อยอดขยายผลนำ “เฮ็ดดิโมเดล” ออกไปสู่ชุมชนอื่น ๆ ที่สนใจต่อไป

ผศ.วรนุช ชื่นฤดีมล และ ผศ.ดร.บุษเกตน์ อินทรปาสาน

ด้าน ผศ.วรนุช ชื่นฤดีมล อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มจธ. และหัวหน้าหลักสูตรฯ กล่าวต่อว่า จากระยะเวลาการดำเนินงานกว่า 3 ปี ตั้งแต่ปี 2564 – 2566 มีคนพิการที่เข้ารับการอบรมในหลักสูตรนี้ทั้งสิ้น 43 คน ส่วนใหญ่เป็นคนพิการด้านการเคลื่อนไหว แขนขาอ่อนแรง สายตาเลือนราง และพิการทางการได้ยิน แบ่งเป็น รุ่นที่ 1 จำนวน 19 คน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จาก การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รุ่นที่ 2 จำนวน 12 คน และ รุ่นที่ 3 จำนวน 12 คน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ จาก บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพคนพิการ มาตรา 35 ซึ่งการดำเนินงานของหลักสูตรมีกำหนดรูปแบบไว้ในแต่ละปี โดยปีที่ 1 จะเป็นการฝึกพื้นฐานความรู้ที่จำเป็นทุกอย่าง ปรับ mind set การสร้างความมั่นใจในตนเอง การสื่อสาร และการเข้าสังคม รวมถึงสอนการออกแบบ การถักทอและการย้อมคราม

ปีที่ 2 เป็นการสอนทักษะงานฝีมือ และเปลี่ยนจากครามเป็นการใช้สีธรรมชาติที่ได้จากท้องถิ่น เช่น ดอกฝักคูน ดาวเรือง ฝาง และพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นรูปต่าง ๆ ตามจินตนาการ เพื่อสร้างจุดเด่นให้กับผลิตภัณฑ์ของกลุ่มมากขึ้น อาทิ เห็ดนำโชค ไม้เท้า สายรุ้ง หรือ เต่า เป็นของประดับตกแต่ง ที่สำคัญเริ่มให้ความรู้การเป็นผู้ประกอบการ จึงเน้นสอนเรื่องของการตลาดมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เขารู้ว่าตัวเองชอบหรือถนัดอะไร เพราะต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกคนอยากเป็นผู้ประกอบการ บางคนชอบทำงานคนเดียว ไม่ชอบทำงานกลุ่ม หรือ บางคนอยากเป็นแค่ผู้ผลิต ซึ่งก็สามารถนำความรู้ที่ได้รับจากหลักสูตรไปประกอบอาชีพเองที่บ้านได้ ซึ่งเขาสามารถเลือกได้

สีเทียนหลากสีจากสีธรรมชาติ

ส่วนปีที่ 3 นี้ นอกจากจะได้ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่เหมือนใครในพื้นที่แล้ว ยังถือเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญของกลุ่มในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการด้วยทุน และการบริหารจัดการด้วยตนเอง โดยการคัดเลือกคนที่พร้อม มีทักษะ สามารถจะเป็นผู้ประกอบการได้ด้วยตัวเอง และสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้ สามารถทำงานระบบออฟฟิศได้ จากการพัฒนาต่อยอดใน 2 รุ่นที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดทางกลุ่มได้รวมตัวกันเป็นผู้ประกอบการในพื้นที่ หรือ Local Enterprise ด้วยทุนของสมาชิกเองทั้งหมด เพื่อบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้นในพื้นที่ ทั้ง ผงสีธรรมชาติจากพืช สีเทียน เทียนหอม เชือกถัก เสื้อ กระเป๋าผ้าย้อมสีธรรมชาติ หรือ แม้แต่ผ้าย้อมคราม ภายใต้แบรนด์ “เฮ็ดดิ คราฟท์

สำหรับผลิตภัณฑ์จากฝีมือคนพิการตำบลเต่างอย ล่าสุดได้ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่นสู่ “ผงสีธรรมชาติจากพืช” เป็นผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์แปลกใหม่ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบในท้องถิ่น โดยนำวัสดุเหลือทิ้งจากธรรมชาติมาผลิต ภายใต้แนวคิด Zero Waste ที่ไม่เหลือขยะทิ้งไว้ ซึ่งผงสีจากพืชธรรมชาติที่ผลิตได้ ประกอบด้วย คราม ฝาง สาบเสือ หูกวาง หางนกยูง ดาวเรือง ฝักคูน เปลือกประดู่ มะม่วง เพกา และ เมล็ดคำแสด สามารถนำไปเป็นส่วนผสมทำผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้หลากหลาย อาทิ เทียนหอม ธูปหอม โดยเฉพาะ สีเทียน เป็นสูตรที่ทางกลุ่มคนพิการได้ทำวิจัย คิดค้น และพัฒนาขึ้นเอง ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มเฮ็ดดิ ที่มีลักษณะเป็นก้อนแตกต่างจากสีเทียนแบบเดิม

ผลิตภัณฑ์สีเทียนจากผงสีธรรมชาติ

“ความน่าสนใจของหลักสูตรฯ นี้ คือ การพัฒนาผลิตภัณฑ์โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภูมิปัญญาชาวบ้าน กับ องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ การออกแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรม ของ มจธ. พัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ถือเป็นการผสมผสานกันระหว่างเทคโนโลยี กับ ภูมิปัญญาชาวบ้าน จนเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ให้กับชุมชน และแม้จะเป็นกลุ่มเปราะบางที่เป็นคนพิการ แต่จุดเริ่มต้นความสำเร็จของคนกลุ่มนี้ คือ อยากทำ อยากฝึก และมีความตั้งใจ ดังนั้น รูปแบบการสอนของเราจะใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่เป็นวิชาการมากนัก มีการใช้สัญลักษณ์เข้ามา เพื่อช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น เช่น เราบอกกับคนพิการว่า การทำผงสี เปรียบเสมือนกับการทำกับข้าว น้ำที่ย้อมเหมือนการต้มน้ำแกง ใส่เกลือ ใส่สารส้ม เคี่ยวเสร็จแล้ว นำมากรอง เอากากออก น้ำที่ได้เทใส่กะละมัง จากนั้น โรยดินสอพองลงไป และตีจนขึ้นฟู พอฟองฟูเต็มที่ แสดงว่าสีจับกับดินสอพองเรียบร้อย ก็ถือว่าเสร็จ ตั้งทิ้งไว้หนึ่งคืน ปล่อยให้ตกตะกอน เช้าขึ้นมาก็เทน้ำข้างบนออก ตักเอาแต่ส่วนที่ตกตะกอน นำไปตากแดด จากนั้นจึงนำมาบดให้ละเอียด ซึ่งกระบวนการทำผงสีนี้ เรายังได้ถอดบทเรียนออกมาเป็นองค์ความรู้ มีด้วยกัน 7 ขั้นตอน เพื่อใช้ถ่ายทอดให้กับนักศึกษา NAFA (Nanyang Academy of Fine Arts) จากประเทศสิงคโปร์ ที่มาร่วมทำ workshop กับกลุ่มคนพิการเฮ็ดดิ ในครั้งนี้ด้วย” ผศ.วรนุช กล่าว

ทางด้าน ผศ.ดร.บุษเกตน์ อินทรปาสาน อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มจธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่สมาชิกตกลงร่วมกันเป็นผู้ประกอบการ Local Enterprise แม้จะยังไม่ได้เป็น Social Enterprise ถือเป็น startup ในเชิงการสร้างอาชีพให้คนพิการ ที่ทุกคนเลือกเป็นผู้ถือหุ้นกันเอง 100% ต่อไปมหาวิทยาลัยจะเป็นเพียงพี่เลี้ยงหรือที่ปรึกษา ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องผลกำไรกับทางกลุ่ม ซึ่งถือเป็นความสำเร็จหนึ่งของ Sustainable Development Goals (SDGs) ในการมีคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืน การสร้างอาชีพและสร้างรายได้ ส่วนสิ่งที่มหาวิทยาลัยได้รับจากการจัดทำหลักสูตรนี้ คือ สามารถตอบโจทย์ของมหาวิทยาลัยที่มุ่งพัฒนามหาวิทยาลัยเป็น The Sustainable Entrepreneurial University รวมถึงการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนกับมหาวิทยาลัย

ผลิตภัณฑ์เทียนหอมจากสีธรรมชาติ

สำหรับ ก้าวต่อไปของเฮ็ดดิ คราฟท์ ผศ. ดร.บุษเกตน์ กล่าวว่า คือการหาตลาดใหม่ ๆ นอกจากกลุ่มเป้าหมายที่เป็นสถาบันการศึกษา ในปีหน้ามีโอกาสจะพาไปพบผู้ซื้อ ให้เขาได้รู้จักลูกค้า ได้เรียนรู้ประสบการณ์มากขึ้น เพราะการตลาดนั้นจะต้องหาลูกค้าให้ได้ก่อน ว่าลูกค้าของเราเป็นใคร พอเราได้ตลาดแล้ว ค่อยมาทำผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ และเรื่องของมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพด้านการทำผลิตภัณฑ์ชุมชน หรือ ของที่ระลึก ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเปรียบเทียบหลักสูตร กับ ประสบการณ์วิชาชีพ รวมถึงการพัฒนาให้เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงานของชุมชนที่ต่างจากกลุ่มอื่นในพื้นที่ จากประสบการณ์การเป็นเทรนด์เดอะเทรนด์เนอร์ให้กับนักศึกษาต่างชาติ จาก มหาวิทยาลัย NAFA ที่หลังจากได้รับการถ่ายทอดจากกลุ่มเฮ็ดดิแล้ว จะนำความรู้ที่ได้รับไปจัดนิทรรศการที่สิงคโปร์ เป็นเครดิตของคนพิการเฮ็ดดิ ที่พูดถึงกันจากการได้มาลงพื้นที่ในเชิงมหาวิทยาลัยกับชุมชน และได้ผลงานกลับไปจัดแสดง ซึ่งอาจมีการนำไปต่อยอดเกิดการออกแบบนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้น ถือเป็นผลงานที่โดดเด่นของกลุ่มคนพิการเฮ็ดดิอีกด้วย

RANDOM

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!