ม.ศรีปทุม จับมือ TIFFA ITBS ผู้นำด้านโลจิสติกส์ ปั้น “เด็กเทพ” บัณฑิตทักษะสูง มีงานรองรับทันทีหลังเรียนจบ

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชน เปรียบเสมือน “เส้นเลือดใหญ่ ” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางกระแสการค้าโลก มูลค่าตลาดโลจิสติกส์ไทย ปี 2564 อยู่ที่ 2.3 ล้านล้านบาท คาดว่า จะเติบโตเฉลี่ย 5.5% ต่อปี แตะ 3.1 ล้านล้านบาท ในปี 2569 การจ้างงานในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทย สร้างงาน 5.7 ล้านคน ในปี 2564 และคาดว่า จะเพิ่มขึ้นเป็น 6.6 ล้านคน ในปี 2569 การเติบโตของตลาดอีคอมเมิร์ซ และความท้าทายจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ “Demand” ความต้องการกำลังคนในสายงานนี้เพิ่มสูงขึ้นมาก แต่ปัญหาใหญ่ที่ผู้ประกอบการเผชิญ คือ  “Supply” กำลังคนสมรรถนะสูงยังมีน้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้เกิดความขาดแคลน “กำลังคน” ทั้งทักษะเฉพาะทาง (Hard Skills) และ ทักษะสมัยใหม่ (Soft Skills) โดยเฉพาะในกลุ่ม “กำลังคนสมรรถนะสูง-ปานกลาง” ซึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีค่าตอบแทนสูง และขาดแคลนในตลาดแรงงานปัจจุบัน สะท้อนปัญหาแรงงานล้น แต่ทักษะไม่ตรง และโจทย์ที่ประเทศต้องเร่งแก้ไข คือ พัฒนาแรงงานทักษะสูง ให้ตรงกับความต้องการของตลาด เพื่อเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในอนาคต

นางสาวพศิกา กระถินทอง (มิ้ว) นักศึกษาชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม แชร์ประสบการณ์และมุมมองต่อสายงานโลจิสติกส์ ว่า ตนสนใจงานด้านโลจิสติกส์มาตั้งแต่เรียนจบ ม.ปลาย เพราะมองหาสายงานที่สามารถเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย จบแล้วมีงานรองรับทันที ที่สำคัญ คือ ไม่อยากตกงาน โลจิสติกส์เป็นสายงานที่กว้าง ค่าตอบแทนสูง มีโอกาสเติบโต และต่อยอดไปประกอบธุรกิจเองได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เลือกเรียนโลจิสติกส์ เริ่มหาข้อมูลหลักสูตรโลจิสติกส์ของหลายมหาวิทยาลัย แต่สุดท้ายเลือก ม.ศรีปทุม เพราะหลักสูตรครอบคลุม ตอบโจทย์ที่อยากเรียน มีโอกาสฝึกงานกับบริษัทชั้นนำ และอาจารย์คอยแนะแนว ให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด สุดท้ายจึงเลือกมาเรียนที่ ม.ศรีปทุม ทฤษฎี และวิชาพื้นฐานจากมหาวิทยาลัย สามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับการทำงานจริง ช่วยให้เรียนรู้งานได้รวดเร็วขึ้น ค้นพบว่า สายงานนี้ท้าทาย น่าเรียนรู้ โดยเฉพาะการสื่อสารภาษาอังกฤษกับลูกค้าต่างชาติ ซึ่งสำคัญมาก และมีแผนเรียนภาษาที่ 3 เพิ่ม เพราะทักษะด้านภาษาเป็นข้อได้เปรียบในสายงานนี้ ทำให้เติบโตและได้รับค่าตอบแทนสูง เป้าหมายในอนาคต หลังฝึกงาน ตั้งเป้าทำงานต่อเพื่อเก็บประสบการณ์ และวางแผนเปิดธุรกิจของตัวเองเมื่อพร้อม เพราะมองว่าอุตสาหกรรมนี้มีโอกาสเติบโตสูง และมีช่องว่างในการสร้างธุรกิจได้อีกมาก

ด้าน นายชลชิศ แก้วแดง (รักษ์) ศิษย์เก่าจากโครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ รุ่นแรก ของ วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม ที่ประสบความสำเร็จในสายงานโลจิสติกส์ ปัจจุบันทำงานเป็น Sales Representative และทำหน้าที่พี่เลี้ยงสอนงานรุ่นน้อง เล่าให้ฟังว่า โครงการนี้มอบโอกาสให้ตนได้ฝึกงานจริง 10 เดือน ช่วยให้ค้นหาตัวเอง ตกผลึกความรู้ พัฒนาทักษะ และเข้าใจในธุรกิจทุกขั้นตอน ตั้งเป้าหมายเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มุ่งสู่ตำแหน่งผู้จัดการ และผลักดันตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจในอนาคต ตนมองว่า ทักษะด้านการสื่อสาร การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า และภาษาเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสายงานนี้ ทักษะเหล่านี้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือกับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในตลาดงานให้กว้างขึ้น โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ มุ่งสร้างบัณฑิตที่มีทักษะตรงกับความต้องการของตลาดงาน ช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้ พัฒนา และเติบโตสู่อนาคตที่สดใส

ขณะที่ ผศ.ดร.ธรินี มณีศรี คณบดีวิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ในขณะที่การพัฒนา “คน” ในสายงานโลจิสติกส์ยังพบอุปสรรคหลายด้าน ทั้งในฝั่ง Demand หรือ สถานประกอบการที่ต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจใหม่ให้ก้าวทันโลกยุคดิจิทัล แต่ยังขาดแรงงานทักษะใหม่ ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาขับเคลื่อนองค์กรที่ไม่สามารถตอบโจทย์อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่มีซับซ้อนและมีความเฉพาะตัวสูง หรือ ในบางสถานประกอบให้ความสำคัญต่อการพัฒนาคน ก็มักถูกซื้อตัวไปทำงานในบริษัทข้ามชาติ ทำให้เกิดปัญหาอัตราการลาออกสูง อีกทั้งคนรุ่นใหม่ไม่ชอบทำงานประจำ หรือ งานที่ต้องใช้แรงงาน ดังนั้น โครงการบัณฑิตพันธุ์ใหม่ของ ม.ศรีปทุม จึงเปรียบเสมือน “สะพานเชื่อมโยง” ระหว่าง “ภาคการศึกษา” กับ “ภาคธุรกิจ” มุ่งผลิตบัณฑิตพันธุ์ที่มีสมรรถนะตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ มีความพร้อมในการทำงานระหว่างเรียน โดย หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน วิทยาลัยโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ม.ศรีปทุม ถือเป็นโมเดลต้นแบบในการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานประกอบการ ในการสร้างบัณฑิตที่มีคุณภาพให้กับประเทศ โดยมหาวิทยาลัยทำหน้าที่เป็นแหล่งพัฒนาทรัพยากรบุคคล “HRD (Human Resource Development)” ในการพัฒนากำลังคนที่มีความรู้ มีทักษะ สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ โดยความร่วมมือกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์กว่า 200 บริษัท ภายใต้ สมาคมผู้รับการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) โดยมีผู้เชี่ยวชาญตัวจริงประสบการณ์จริงมาถ่ายทอดองค์ความรู้และประสบการณ์ ผ่านโครงการ “หลักสูตรบัณฑิตพันธุ์ใหม่” กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ปัจจุบันหลักสูตรนี้ เป็นหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยเอกชนผลิตกำลังคนออกสู่ตลาดแรงงานมากกว่ามหาลัยรัฐ และ ม.ศรีปทุมเป็นอันดับต้น ๆ ในการผลิต “คน” ทักษะสูงออกสู่อุตสาหกรรมมากที่สุด

“เราพัฒนาหลักสูตร เน้นทักษะและความรู้ที่จำเป็นสำหรับตลาดแรงงานและเศรษฐกิจโลก นักศึกษาจะได้รับประสบการณ์การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ ทั้งในห้องปฏิบัติการและสถานประกอบการจริง “เรียนรู้จากตัวจริง ประสบการณ์จริง” ที่ผ่านมา มีบัณฑิตในโครงการนี้กว่า 300 คน และได้เข้าไปทำงานในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์แล้วแทบทั้งหมด ด้วยหลักสูตรที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน เน้นทักษะและความรู้ที่จำเป็น เรียนรู้จากประสบการณ์จริง บูรณาการการเรียนร่วมกับการทำงาน จบแล้วมีงานทำทันที โดยมีอาจารย์เป็นโค้ชคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำแก่นักศึกษา ให้มองเห็นเป้าหมายในสายงานได้ชัดเจนขึ้น รวมถึงโอกาสสร้างรายได้/ค่าตอบแทนที่สูง และโอกาสเติบโตในระดับผู้บริหารสายงานโลจิสติกส์ทั้งในและต่างประเทศ ทั้งยังสามารถต่อยอดเป็นเจ้าของธุรกิจได้ โดยอัตราค่าตอบแทนในสายงานนี้ เริ่มต้นที่เดือนละ 20,000-25,000 บาท ถ้ามีทักษะภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาที่ 3 ค่าตอบแทนจะเพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ ตำแหน่งระดับผู้บริหารในสายงานนี้ มีรายได้สูงถึง 6 หลักขึ้นไป และสามารถก้าวไปเป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้า-ส่งออก มีโอกาสเติบโตสร้างรายได้ที่มั่นคง”

โดยปัจจุบันมี 3 อาชีพเร่งด่วน ที่ยังขาดแคลนและต้องเร่งผลิตบัณฑิตให้ทันต่อการเติบโตของประเทศ ได้แก่ 1. อาชีพนักจัดการโลจิสติกส์สำหรับสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain) อาชีพที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดเก็บและขนส่งสินค้าที่ควบคุมอุณหภูมิรักษาคุณภาพ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร อาหาร ยาและเวชภัณฑ์ 2. อาชีพนักวางแผนอุปสงค์ (Demand Planner) นักวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ และ 3. อาชีพนักวางแผนการขนส่ง (Smart Driver) ทำหน้าที่วางแผน ควบคุม และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการการขนส่ง และการกระจายสินค้า

ทางด้าน นายสมชาย บรรลือเสนาะ ผู้อำนวยการบริหารสมาคมผู้รับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (TIFFA) ผู้อำนวยการโรงเรียนธุรกิจการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ (ITBS) ผู้คร่ำหวอดในแวดวงโลจิสติกส์ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ กำลังกลายเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย รองจากธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ และธุรกิจสุขภาพ รัฐบาลเล็งเห็นถึงโอกาสผลักดันประเทศไทยเป็นฮับโลจิสติกส์ของภูมิภาค ทั้งทางบก น้ำ และ อากาศ ผ่านโครงการเมกะโปรเจกต์ต่าง ๆ เชื่อมโยงการขนส่งจากจีนตอนใต้ไปยังประเทศต่าง ๆ ผ่านไทย หัวใจสำคัญของการเป็นฮับได้สำเร็จ “คน” ต้องมีศักยภาพ ตอบโจทย์ความซับซ้อนของงาน เข้าใจหลักเกณฑ์ มาตรฐานการขนส่ง และ มาตรฐานสินค้าของแต่ละประเทศ “คนโลจิสติกส์” ต้องมี ทัศนคติที่ดี รักในสายงาน มองเห็นเป้าหมายการเติบโต TIFFA ITBS และ มหาวิทยาลัยศรีปทุม มุ่งพัฒนากำลังคน ยกระดับอุตสาหกรรม เริ่มตั้งแต่การแนะแนวให้นักศึกษามองเห็นเป้าหมาย ฝึกฝนทักษะพื้นฐาน และ โครงการ “บัณฑิตพันธุ์ใหม่” ร่วมมือกับ TIFFA ITBS ต่อยอดความรู้จากภาคปฏิบัติสู่สนามจริง 10 เดือน นักศึกษาได้เรียนรู้ ค้นพบตัวเอง พัฒนาศักยภาพ และมีเป้าหมายเติบโตในสายงาน ในสายงานนี้ทักษะภาษาอังกฤษสำคัญมาก ช่วยให้เติบโตในตลาดแรงงานระดับโลก เพิ่มค่าตอบแทน รวมทั้งทักษะภาษาที่ 3 อย่างภาษาจีน และภาษาอาเซียนก็เป็นที่ต้องการในอุตสาหกรรมในเฟสต่อไป เดินหน้า โครงการ “ปั้นเด็กเทพ” คัดนักศึกษาหัวกะทิ 19 คน พัฒนาเป็นกำลังคนสมรรถนะสูง ไปเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศ และเดินหน้าร่วมมือพัฒนาหลักสูตร อัปสกิล รีสกิล ด้านโลจิสติกส์ ทันกับความต้องการของตลาดให้กับกำลังคนในอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อทันต่อการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของโลก และมีแผนจับมือ คณะศิลปศาสตร์ เพื่อเพิ่มทักษะภาษาจีน และภาษาอาเซียน รองรับการเป็นฮับ การเพิ่มทักษะภาษาที่ 3 เป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับกำลังคนที่จะป้อนออกสู่อุตสาหกรรม และมีค่าตอบแทนสูงขึ้นตามไปด้วย

ปิดท้ายที่ นายวรชิต รัตนจินดา Management Executive บริษัท โปรเฟรท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการในธุรกิจโลจิสติกส์มานานกว่า 30 ปี ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมนี้มาโดยตลอด หนึ่งในสิ่งที่ท้าทายที่สุดในปัจจุบัน คือ การปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ พนักงานส่วนใหญ่ในธุรกิจโลจิสติกส์ เป็นกลุ่มเจเนอเรชันวัยกลางคน ซึ่งอาจไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหมือนกลุ่มเจเนอเรชันใหม่ ๆ ที่เติบโตมาในวิถีดิจิทัลไลฟ์ การรับคนรุ่นใหม่เข้ามาทำงาน เป็นการเติมเต็มช่องว่าง เกิดมุมมองและนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจโลจิสติกส์ในอนาคต

RANDOM

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!