นิด้า จับมือ สกสว. เปิดตัวโครงการ HART สร้างความรู้ความเข้าใจผู้สูงอายุไทย ปั้นสังคมสูงวัยที่มีพลังและมีสุขภาพดี มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไม่เป็นภาระใคร

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ผนึกกำลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เปิดตัวโครงการ HART โครงการ สำรวจ และศึกษาสุขภาพ การสูงอายุ และการเกษียณในประเทศ (Health, Aging, and Retirement in Thailand-HART) แถลงข่าวเปิดตัวโครงการและจัดเสวนา หัวข้อ “วัยที่เปลี่ยนไป….กับบทบาทที่เปลี่ยนแปลง” ด้วยข้อมูลวิจัยจากครัวเรือนเดิมที่เป็นผู้สูงอายุในแต่ละรอบการสำรวจ ที่เก็บต่อเนื่องมาตลอด 12 ปี เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจผู้สูงอายุไทย ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เป็น longitudinal data ถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในมิติต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่สังคมสูงอายุของประเทศไทย ให้เป็นผู้สูงอายุที่มีพลัง (Active aging) และมีสุขภาพดี (Healthy aging) เป็นที่สังคมที่ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด

โครงการ สำรวจ และศึกษาสุขภาพ การสูงอายุ และการเกษียณในประเทศ (Health, Aging, and Retirement in Thailand-HART) จัดทำโดย ศูนย์วิจัยสังคมผู้สูงอายุ ร่วมกับ ศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) แถลงข่าวโครงการ HART โดยมี ศ.ดร.ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ อธิการบดี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และผู้บริหารสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คุณชลธิชา ขุนทอง ตัวแทนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว) รวมถึงทีมวิจัยโครงการ HART แถลงข่าวเปิดตัวโครงการ

โครงการ HART เป็นโครงการศึกษาเรื่องราวของคนไทย ตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป จาก 5,600 ครัวเรือนทั่วประเทศ ดำเนินการเก็บข้อมูลทุก ๆ 2 ปี ซึ่งเป็นโครงการแรกและโครงการเดียวที่เก็บข้อมูลจากตัวอย่างเดิมที่เป็นผู้สูงอายุในแต่ละรอบการสำรวจ (Longitudinal Panel Survey) ตั้งแต่ ปี 2557 และปัจจุบัน โครงการ HART เริ่มรอบการสำรวจรอบที่ 5 จากการสำรวจตัวอย่างคนเดิม จะช่วยให้เข้าใจการเปลี่ยนผ่าน และการเปลี่ยนแปลงตลอดช่วงชีวิต โดยเฉพาะในมิติสังคม ตัวตน รายได้ และความพึงพอใจของผู้สูงวัย ซึ่งนำมาสู่การกำหนดนโยบายสาธารณะของประเทศไทย นอกจากนี้โครงการ HART ยังเป็นเครือข่ายของโครงการ Health and Retirement Study (HRS) – Around the world (HRS-ATW) และ เครือข่ายโครงการวิจัยในอาเซียน

ผศ.ดร. ดารารัตน์ อานันทนะสุวงศ์

ขณะที่ กิจกรรมเสวนาหัวข้อ “วัยที่เปลี่ยนไป..กับบทบาทที่เปลี่ยนแปลง” เป็นการเสวนาโดย คณะวิจัย อาทิ ผศ.ดร. ดารารัตน์ อานันทนะสุวงศ์ รศ.ดร.เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์ รศ. ดร. พาชิตชนิต ศิริพานิช และผศ. ดร.ปรีชา วิจิตรธรรมรส ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนผลการวิจัยจากโครงการ HART 4 รอบการสำรวจ ครอบคลุมปี 2557 – 2565 ทำให้เห็นแนวโน้มที่น่าสนใจในประเด็นต่อไปนี้

มิติด้านสุขภาพ Health

H(E)ART to Health : แม้ร่างกายเปลี่ยนไป แต่สุขภาพใจสำคัญที่สุดต่อความพึงพอใจในชีวิตของผู้อายุทุกช่วงวัย และการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของภาครัฐ

มิติสุขภาพเป็นมิติสำคัญ ที่ส่งผลต่อการเกษียณอายุก่อนกำหนดของผู้สูงอายุ เนื่องจากกระทบต่อมิติด้านการมีงานทำ โดยการสำรวจมิติด้านสุขภาพเป็นการสำรวจทั้งสุขภาพกาย ได้แก่ การเจ็บป่วย และโรคจากการวินิจฉัยของแพทย์ ความสามารถในการช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวัน ความจำ หรือ การรับรู้ (Cognition) พฤติกรรมทางด้านสุขภาพ เช่น โภชนาการ การสูบบุหรี่ การออกกำลังกาย และการเข้าถึงหรือเข้าใช้บริการสุขภาพสาธารณะ

โดย รศ. ดร. พาชิตชนิต ศิริพานิช อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ และ ผศ.ดร. ธิฏิรัตน์ พิมลศรี ผู้อำนวยการหลักสูตรมหาบัณฑิตสาขาสถิติประยุกต์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้นำข้อมูลจากโครงการ HART มาศึกษาเรื่อง Factors Influencing Elderly Life Satisfaction in Thailand : A Comprehensive Study on Socio-economic, Mental, and Physical Health, and Social Activity พบว่า ความพึงพอใจในคุณภาพชีวิตในมุมมองของผู้สูงอายุเอง คือ “สุขภาพจิต” และ “ทรัพย์สินที่ถือครอง” ในขณะที่ “รายได้” “สุขภาพกาย” และ “การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม” ส่งผลกระทบทางอ้อม ผ่านคะแนนสุขภาพจิต

ขณะที่ ผศ.ดร.ปรีชา วิจิตรธรรมรส ผู้อำนวยการศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ศึกษาเพื่อใช้ในการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ พบว่า เมื่อต้องเข้าสู่สังคมสูงอายุ ภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ดูแลคนทั้งประเทศสูงถึง 70.71% และเมื่อพิจารณาประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป กับการใช้บริการทางสุขภาพเป็นคนไข้ใน (IPD) พบว่า เมื่ออายุมากขึ้น จำนวนครั้งที่เราต้องเข้าไปใช้บริการจะสูงขึ้น ซึ่งถ้าเราติดตามผู้สูงอายุกลุ่มนี้ ว่ามีการใช้บริการสูงมากน้อยแค่ไหน ความถี่ที่ต้องเข้าไปใช้บริการเป็นอย่างไร การทราบข้อมูลจะเกิดประโยชน์ต่อการบริหารความเสี่ยงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของภาครัฐ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้

มิติด้านการสูงอายุ AGING

สังคมและการเกื้อกูล : เมื่อประชากรสูงวัย…โดดเด่น แต่มีแนวโน้มอยู่อย่าง…โดดเดี่ยว ส่งผลต่อบทบาทผู้สูงอายุในครอบครัว…ลดลง สภาพจิตใจผู้สงอายุ…เงียบเหงา

รศ.ดร.เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ พบประเด็น 3 ข้อจากข้อมูล HART คือ ผู้สูงอายุไทยอาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีขนาดเล็กลง บุตรยังเป็นที่พึ่งหลักของบิดามารดา และเกิดรูปแบบใหม่ของการเกื้อกูล/ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตร ที่เรียกว่า Distant-supportive (อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ)

ประเด็นแรก ด้านผู้สูงอายุไทยอาศัยอยู่ในครัวเรือนที่มีขนาดเล็กลง และอยู่ในครัวเรือนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น พบว่า จำนวนสมาชิกในครัวเรือนโดยเฉลี่ย เปรียบเทียบ เมื่อปี 2558 3.6 คน ขณะที่ เมื่อปี 2565 เหลือ 3.4 คน และการอยู่อาศัยร่วมกันเป็นครัวเรือนใหญ่มีแนวโน้มลดลง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สูงอายุไทยอยู่คนเดียวเพิ่มมากขึ้น โดย ในปี 2558 9.4% และ เพิ่มขึ้นในปี 2565 เป็น 12.6% และผู้สูงอายุที่อยู่ด้วยกันตามลำพังในครัวเรือน ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน จาก พ.ศ. 2558 17.7% เพิ่มขึ้นเป็น 31.4% ในปี พ.ศ. 2565 และเมื่อพิจารณาผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 80 ปี ในปี 2565 อยู่คนเดียว 8.9% และอยู่กับผู้ที่ไม่ใช่ครอบครัว หรือ ญาติ 1.2% ดังนั้น ผู้สูงอายุบทบาทเดิมเป็นเสาหลัก จะเปลี่ยนมาเป็นผู้ที่ทำหน้าที่สนับสนุน ดังนั้น ข้อเสนอนโยบาย คือ การจัดระบบเยี่ยมเยียน และการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีปฏิสัมพันธ์ หรือ เรียกว่า One Community One Park เพื่อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพจิตที่ดี และการเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว

ประเด็นที่สอง ด้านบุตรยังเป็นที่พึ่งหลักของบิดามารดา โดยการเกื้อกูลระหว่างกันยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง (จากปีพ.ศ. 2558 95.2% ปี 2565 94.8%) แต่รูปแบบของการเกื้อกูลจะเปลี่ยนไป โดยผู้สูงอายุที่เป็นผู้รับอย่างเดียวจะลดลง (ปี 2558 28.3% ขณะที่ปี 2565 16.5%) แต่ผู้สูงอายุจะมีบทบาทเป็นทั้งรับทั้งให้เพิ่มขึ้น (ปี 2558 64.3% และปี 2565 73.6%) ส่วนจำนวนเงินที่ได้รับจากบุตรลดลง จากปี 2558 ผู้สูงอายุได้รับจากบุตร 24,000 บาท ลดลงในปี 2565 10,000 บาทต่อปี ดังนั้น จากอดีตบทบาทหลัก คือ การเป็นผู้รับจากบุตร เปลี่ยนไปเป็น ผู้ให้และผู้รับ (รวมทั้งหลาน) แต่การให้ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปที่ไม่ใช่ตัวเงิน ดังนั้น ข้อเสนอแนะ คือ ควรปลูกฝังเรื่องความกตัญญู การรู้จักเสียสละ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ให้กับเด็กรุ่นหลัง ๆ

ประเด็นสุดท้าย คือ การเกิดรูปแบบใหม่ของการเกื้อกูล/ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตร เรียกว่า Distant-supportive ผลการวิจัย ในปี พ.ศ. 2565 การเกื้อกูล/ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดากับบุตรพบรูปแบบใหม่ คือ อยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ หรือ Distant-supportive หมายถึง ที่พักอาศัยของบุตรอยู่ห่างไกลจากบิดามารดา ไม่ค่อยพบปะเห็นหน้ากัน แต่มีการพูดคุยกับบุตรบ่อย ๆ โดยใช้ social media ได้รับความช่วยเหลือจากบุตรทั้งในรูปของเงิน และไม่ใช่เงิน และมีการให้ความช่วยเหลือที่ไม่ใช่เงินกับบุตรด้วย ดังนั้น นโยบายควรส่งเสริมให้มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต สอนให้ผู้สูงอายุรู้จักการใช้ social media พร้อมจัดหาอุปกรณ์ในราคาถูก และให้สามารถเข้าถึง internet ได้อย่างทั่วถึง

นอกจากนี้ ผศ. ดร. รติพร ถึงฝั่ง อาจารย์ประจำ คณะพัฒนาสังคมและยุทธศาสตร์การบริหาร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปรียบเทียบข้อมูลด้านความคาดหวังและความพึงพอใจในชีวิต ในปี พ.ศ. 2558 และปี พ.ศ. 2565 พบว่า ผู้สูงอายุมีความคาดหวังในชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น และมีความพึงพอใจในชีวิตสูงขึ้น โดยเฉพาะความพึงพอใจในบุตรและคุณภาพชีวิตโดยรวม และต่ำที่สุด คือ ความพึงพอใจในสภาพเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุมีแนวโน้มพึ่งพาตนเองในการแก้ปัญหาและดูแลจิตใจมากขึ้น

มิติด้านการเกษียณ Retirement

การมีงานทำ : งานมั่นคง = ความมั่นใจ

ผลการศึกษา พบว่า ผู้สูงอายุมีสัดส่วนการทำงานที่ลดลง จากปีที่เริ่มสำรวจในปี 2558 โดยเฉพาะในปีสำรวจ 2560 และ 2563 และสัดส่วนนี้ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ในปีสำรวจ 2565 (จากร้อยละ 45.05 ในปีฐาน เป็น ร้อยละ26.7 ร้อยละ 31.84 และร้อยละ 44.71 ตามลำดับ) สัดส่วนการมีงานทำจะลดลงไปตามอายุที่สูงมากขึ้น และเพศหญิงมีสัดส่วนในการทำงานต่ำกว่าเพศชาย โดยกลุ่มผู้สูงอายุวัยปลาย (อายุ ตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป) ยังมีสัดส่วนการทำงานอยู่ประมาณร้อยละ 3 – 5 การยังคงมีทำงานของกลุ่มผู้สูงอายุวัยปลาย สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการทำงาน ส่วนสาเหตุสำคัญของการออกจากงาน คือ ระบบเกษียณอายุการทำงาน ปัญหาสุขภาพ และภาระการดูแลครอบครัว และอายุเฉลี่ยในการทำงานต่อไปของผู้สูงอายุชาย อายุ 60 ปี และมีงานทำอยู่ที่ประมาณ 6 ปี โดยผู้สูงอายุหญิง จะมีอายุการทำงานต่อไปโดยเฉลี่ย อยู่ที่ประมาณ 4 ปี หากนำระดับการศึกษาเข้ามาพิจารณา จะพบว่า หากมีระดับการศึกษาต่ำกว่าระดับมัธยม ผู้สูงอายุผู้ชาย จะมีอายุเฉลี่ยในการทำงานจากอายุ 60 ปี ต่อไปอีก Working life expectancy ที่สามารถขยายต่อไป เป็น Healthy working life expectancy ซึ่งข้อมูลดังกล่าว จะมีประโยชน์ต่อนโยบายการขยายอายุเกษียณต่อหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม หรือ สภาพัฒน์ หรือ กรมกิจการผู้สูงอายุ ในการวางแผนการสร้างงานสำหรับประชากรสูงอายุ ในเพิ่มการเข้าใจในชีวิตการทำงานของผู้สูงอายุ ในการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีพลัง (Active aging)

ข้อเสนอแนะจากผลการเก็บข้อมูลโครงการ HART

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศไทย จากนี้ไปอีกประมาณ 16 ปี (พ.ศ. ปี 2583) สัดส่วนผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% หรือ ประมาณ 20.5 ล้านคน ดังนั้น ผลการเก็บข้อมูลโครงการ HART จะช่วยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภาครัฐเข้าใจ “ตัวตน” แต่ละช่วงชีวิตของผู้สูงอายุไทย เพื่อกำหนดนโยบายและสวัสดิการที่รองรับชีวิตในวัยสูงอายุ โดยเฉพาะด้านสุขภาพ และด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อให้สังคมสูงอายุของประเทศไทย เป็นผู้สูงอายุที่มีพลัง (Active aging) และมีสุขภาพดี (Healthy aging) เป็นที่สังคมที่ผู้สูงอายุอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เป็นภาระแก่ผู้ใด โดยทีมวิจัยโครงการ HART มีข้อเสนอเชิงนโยบายดังนี้

1. ด้านสุขภาพ ควรสร้างสุขภาพกายและใจแก่ผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัว สำหรับสำหรับผู้สูงอายุวัยกลางถึงวัยปลาย : Long-term care นอกจากประเด็นความทั่วถึง/เข้าถึงได้สะดวก ควรเน้นนโยบายและมาตรการด้านสุขภาพทางการเงินและสุขภาพจิตของสมาชิกครอบครัวที่ต้องออกจากงานมาดูแล ทั้งนโยบายและมาตรการด้านส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรด้านการดูแลบริบาล และการบริหารจัดการสถานดูแลบริบาลระยะยาว สำหรับผู้สูงอายุวัยต้น และผู้ที่กำลังจะสูงอายุ : Preventive care การสร้างสุขภาพที่ดี ได้แก่ โภชนาการ การออกกำลัง การสร้างเครือข่ายทางสังคม การอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี

2. ด้านครอบครัวและการเกื้อกูล ควรสร้างการมีส่วนร่วมในครอบครัว และในชุมชน (สร้างความสัมพันธ์ข้ามรุ่น และสร้างเครือข่ายทางสังคม ได้แก่ นโยบายและมาตรการการอยู่ร่วมกันระหว่างคนต่างวัยในครัวเรือนเดียวกัน การส่งเสริมให้สมาชิกครอบครัวอยู่อาศัยด้วยกันหรือใกล้กัน โดยเฉพาะรุ่นหลาน (ลูกของลูก) และส่งเสริมกิจกรรมทางสังคมด้านจิตอาสา

3. ด้านการมีงามทำสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สำหรับผู้สูงอายุวัยต้น และผู้ที่กำลังจะสูงอายุ ได้แก่ นโยบายและมาตรการการขยายอายุเกษียณงาน นโยบายและมาตรการการจ้างงานผู้สูงอาย นโยบายและมาตรการด้านระบบบำเหน็จบำนาญ นโยบายและมาตรการทางการประกันการดูแลรักษาระยะยาว (Long-term care insurance)

ทั้งนี้ ข้อมูล HART ได้มีการเก็บรวบรวมมาทั้งหมด 4 รอบสำรวจ จัดเก็บไว้ในห้องข้อมูล ที่ ศูนย์คลังปัญญาและสารสนเทศ และเผยแพร่ต่อสาธารณะ โดยการลงทะเบียนเพื่อขอเข้าใช้ที่ https://hart.nida.ac.th สามารถติดตามข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ตัวตนผู้สูงอายุได้ที่ www.facebook/hartnida

RANDOM

สำนักงานราชบัณฑิตยสภา ขอเชิญสำนักพิมพ์และนักแปลอิสระ ส่งหนังสือเข้าร่วมการประกวดหนังสือวิชาการแปลดีเด่น เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ ส่งผลงานได้ ตั้งแต่บัดนี้ – 30 เมษายน 2567

สถาบันการศึกษาทางไกล กรมส่งเสริมการเรียนรู้ เปิดสอน ‘หลักสูตรภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร’ รุ่นที่ 27 ประเมินผ่านเกณฑ์ รับวุฒิบัตรทันที สมัครเรียนได้ ตั้งแต่บัดนี้ – 30 พ.ย. 66

NEWS

ม.หอการค้าไทย ชวนน้อง ๆ มัธยมปลายร่วมโครงการ “แคมป์เด็กหัวการค้า ปีที่ 11 จุดประกายความฝัน…ปั้นผู้นำธุรกิจ” บ่มเพาะนักธุรกิจรุ่นเยาว์ ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจประเทศในอนาคต เปิดรับสมัครแล้ว ถึง 3 ตุลาคม

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!