รศ.ดร.จุฑามาศ รัตนวราภรณ์ ประธานหลักสูตรสหสาขาวิชาวิศวกรรมชีวเวช คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงศูนย์วิจัยแห่งใหม่ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งเปิดตัวศูนย์ฯ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา ว่า ศูนย์วิจัยวิศวกรรมชีวเวช (Biomedical Engineering Research Center) หรือ BMERC ได้รับการก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบสนองนโยบายของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการยกระดับพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนามหาวิทยาลัยให้สอดคล้องกับความต้องการของประเทศและโลกในศตวรรษใหม่ ศูนย์วิจัยแห่งนี้เป็นศูนย์กลางความร่วมมือของหลากหลายศาสตร์ ประกอบด้วย คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ คณะทันตแพทยศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ และคณะวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์งานวิจัยให้เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม พรั่งพร้อมด้วยอุปกรณ์ในการทำ Lab ห้องปฏิบัติการด้านชีวภาพที่มีการเพาะเลี้ยงเซล อุปกรณ์ทางการแพทย์ และคอมพิวเตอร์ที่ครบครันทุกสาขา เป็นศูนย์กลางสำหรับนิสิตและคณาจารย์จากคณะต่างๆ ที่ทำงานเกี่ยวกับการแพทย์และนวัตกรรมทางการแพทย์ได้มีพื้นที่ในการทำงานร่วมกัน
รศ.ดร.จุฑามาศ กล่าวต่อว่า ก่อนที่จะเป็น ศูนย์วิจัยวิศวกรรมชีวเวช หรือ BMERC คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มีหลักสูตรสหสาขาวิชาวิศวกรรมชีวเวช ที่มีบทบาทชัดเจนด้านการเรียนการสอนนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา และมีผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับการแพทย์อยู่แล้ว เมื่อมีการจัดตั้งศูนย์วิจัยวิศวกรรมชีวเวชจึงมีการขยายบทบาทของหลักสูตร โดยเพิ่มเติมพื้นที่สำหรับนิสิตระดับบัณฑิตศึกษาในการทำโครงการวิจัย วิทยานิพนธ์ และพัฒนานวัตกรรม คณาจารย์ก็จะใช้ศูนย์วิจัยนี้เป็นพื้นที่พัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมหรือต่อยอดนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ หลากหลายผลงานนวัตกรรมจากหลักสูตรวิศวกรรมชีวเวชที่คณาจารย์และนิสิต ได้พัฒนาขึ้นในช่วงเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ได้ตอบสนองความต้องการของสังคมและวงการแพทย์ ถือเป็นจุดเด่นที่ศูนย์วิจัยฯ จะเดินหน้าดำเนินการต่อไป ที่ผ่านมา มีคณาจารย์หลายท่านในหลักสูตรได้รับทุนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) รวมถึงทุนจากต่างประเทศในการแลกเปลี่ยนอาจารย์และนิสิต เพื่อพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมให้เป็นที่ประจักษ์มากยิ่งขึ้น
“ศูนย์วิจัยวิศวกรรมชีวเวชมีบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นผู้ที่พบเจอปัญหาทางคลินิกจริงๆ มาร่วมพัฒนางานวิจัยในหลายโครงการ ดังนั้น นวัตกรรมที่เราพัฒนาขึ้นนั้น เริ่มจากโจทย์ที่มีอยู่จริง เป็นงานวิจัยและนวัตกรรมที่ไม่ได้พัฒนาเพื่อขึ้นหิ้ง แต่มีผู้ใช้งานอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นงานวิจัยและนวัตกรรมสำหรับวงการแพทย์ก็ยิ่งเป็นประโยชน์มากขึ้น ในการสร้างงานนวัตกรรม ถ้าสำเร็จตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ก็จะทำให้ได้วิธีการรักษาโรคและการตรวจวินิจฉัยโรคแบบใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น” รศ.ดร.จุฑามาศกล่าว
สำหรับตัวอย่างนวัตกรรมของศูนย์วิจัยฯ ที่นำไปใช้ได้จริง จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ศูนย์วิจัยวิศวกรรมชีวเวชได้พัฒนาหลากหลายผลงานนวัตกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม ไม่ว่าจะเป็น รถกองหนุน ซึ่งเป็นผลงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของบุคลากรทางการแพทย์ รถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษ เป็นรถพระราชทาน ที่นำไปต่อยอดในการใช้งานจริง โดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เครื่องดึงวัคซีน AstraZeneca อัตโนมัติ เครื่องรังสียูวีสำหรับฆ่าเชื้อหน้ากากอนามัย N95 ที่มีการใช้งานซ้ำ
นอกจากนี้ ยังมีผลงานการพัฒนานวัตกรรมอื่นๆ เช่น อวัยวะเทียม แขนขาเทียม เท้าเทียม สะโพกเทียม สำหรับผู้พิการที่สูญเสียอวัยวะ เนื่องจากการพึ่งพาอวัยวะจากต่างประเทศอาจไม่เหมาะกับสรีระของคนไทย ที่สำคัญคือมีราคาสูง การพัฒนารูปแบบนำทางเข็มฉีดสารในร่างกายลดความเจ็บปวดแทนเข็มฉีดยา โครงการกระดูกเทียมจากไหมไทย โดยการนำโปรตีนจากไหมไทยที่สกัดมาทำกระดูกเทียมเพื่อช่วยกระตุ้นการงอกของกระดูก นวัตกรรม 3D Printing Titanium Bone เพื่อปลูกถ่าย ซ่อมแซมกระดูกที่เสียหาย ซึ่งมีการนำไปใช้จริงในผู้ป่วยแล้ว
“แนวทางการพัฒนาศูนย์วิจัยฯ ในอนาคต จะเน้นในเรื่องการสร้างความร่วมมือเป็นหลัก นอกจากการเชื่อมโยงอาจารย์จากสหสาขาทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมแล้ว แผนงานที่วางไว้จะมีการขยายความร่วมมือออกไปนอก จุฬาฯ โดยสร้างความร่วมมือในการทำโครงการวิจัยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ที่ทำงานด้านการแพทย์ หรือให้ทุนเพื่อพัฒนาการวิจัย โดยมีเป้าหมายให้ศูนย์วิจัยเป็น Medical Hub เพื่อสร้างความร่วมมือพัฒนางานนวัตกรรมทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพ ได้มาตรฐาน สามารถนำไปใช้ได้จริง ตอบโจทย์ความต้องการของสังคม” รศ.ดร.จุฑามาศ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับหน่วยงานที่สนใจนวัตกรรม หรือต้องการร่วมมือพัฒนานวัตกรรมร่วมกับ ศูนย์วิศวกรรมชีวเวช ติดต่อได้ที่ โทร. 0-2218-6793-13