เมื่อมีพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ พ.ศ.2562 ก็ดีใจกันสำหรับวงการกีฬา โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เพราะเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.นี้ที่มาแทน พระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา พ.ศ.2548 นั้นก็คือ การยกฐานะการจัดการด้านการศึกษา งานวิจัยด้านกีฬาและอื่น ๆ ที่รัฐมองเห็นคุณประโยชน์สถาบันนี้จึงเปิดให้เปลี่ยนแปลง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้
และในบทเฉพาะกาลของ พ.ร.บ.ใหม่นี้ มาตรา 95 ระบุ สรุปว่าหากยังไม่สามารถดำเนินการได้ตาม พ.ร.บ.นี้ก็ให้นำพระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ระเบียบ ข้อบังคับ และประกาศ ซึ่งออกจากพระราชบัญญัติสถาบันการพลศึกษา พ.ศ.2548 ที่ใช้อยู่ก่อนวันประกาศใช้ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับ มาบังคับใช้โดยอนุโลม ในกรณีที่มีปัญหาในการดำเนินการตามที่กำหนดในบทเฉพาะกาลนี้ ให้รัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจตีความและวินิจฉัย
ซึ่งเมื่อมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2562 ทุกอย่างก็เดินหน้า ตามที่ระบุ หรือสิ่งที่ต้องทำ ในมาตราต่าง ๆ ที่สำคัญคือเล็งเป้าไปที่ การสรรหาอธิการบดีคนใหม่ ตาม พ.ร.บ.ใหม่ เนื่องจาก อธิการบดีคนเก่า นั้นอยู่มาตาม พ.ร.บ.สถาบันการพลศึกษา ถือเป็น พ.ร.บ.เก่าที่กำลังเปลี่ยนผ่าน ที่เพ่งเล็งกันก็เพราะฐานะของอธิการบดี ในสถาบันการศึกษานี้ถือว่าสำคัญ / และที่เล็งต่ออีกส่วนก็คือนายกสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเปรียบเหมือนผู้นำสูงสุดของสถาบันนี้ หลังจากนายวิษณุ เครืองาม นายกสภาคนเก่าลาออกไป
วันที่ 29 ก.ค.2563 ประธานกรรมการสรรหาอธิการบดี คือปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายโชติ ตราชู ได้เสนอรายชื่อที่ผ่านมาสรรหา ต่อสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ที่ยังไม่มีนายกสภา และนาย ปริวัฒน์ วรรณกลาง อธิการบดี ในฐานะอุปนายกสภา ทำหน้าที่รักษาการนายกสภามหาวิทยาลัยตาม พ.ร.บ. เพื่อให้สภาพิจารณาดำเนินการ ที่จะต้องเสนอชื่อต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งฯ แต่ปรากฏว่าสภามีมติกลับมายังคณะกรรมการสรรหาเพื่อขอรายละเอียดต่าง ๆ จากข้อสังเกตหลายอย่างของที่มาการสรรหา คณะกรรมการสรรหาก็ยืนยันและทางรัฐมนตรี ที่เป็นผู้มีอำนาจ ตาม พ.ร.บ.ก็มีหนังสือถึงสภาเพื่อเร่งรัดการพิจารณา เพื่อแต่งตั้งอธิการบดีตามที่ได้สรรหาแล้ว
วันที่ 5 ต.ค.2563ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ที่มีนายปริวัฒน์ วรรณกลาง รักษาการนายกสภา ได้นำเสนอเพื่อพิจารณาผู้ที่ผ่านกระบวนการคัดสรรนายกสภามหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติคนใหม่แล้ว คือนายชัยภักดิ์ ศิริวัฒน์ ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบ 16 ต่อ 1 เสียง แล้วจากนั้นสภามหาวิทยาลัยก็เสนอชื่อนายชัยภักดิ์ มายังกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย แต่ก็มีการร้องเรียนหลาย ๆ ด้านมาอีก รัฐมนตรีจึงได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เคลียร์เรื่องที่ร้องเรียนก่อน
จากวันนั้นถึงวันนี้ (16 มี.ค.2565) มีความเคลื่อนไหวพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการทวงท้วงต่อรัฐมนตรี ที่ดูแล พรบ.และงานด้านนี้ผ่านทั้งในและนอกสภา เพื่อให้มีการแก้ไข ฝ่ายนิติบัญญติกีฬาก็ขอคำชี้แจง แต่สรุปสุดท้ายนั้น ยังไม่มีอะไรคืบหน้า พระราชบัญญัติเก่าใหม่ที่คลุกกันอยู่นี้ยังไม่ได้ก่อสร้างสร้างผลอะไรขึ้นมา
อธิการบดี ก็ยังคงเป็นคนจากพระราชบัญญัติเก่า คือ นายปริวัฒน์ วรรณกลาง เพราะคนที่จะมาใหม่ตาม พระราชบัญญัติใหม่ไม่เกิดขึ้น และโดยหน้าที่นี้จะอยู่ตลอดไปหากยังไม่ได้คนมาใหม่ตามกระบวนการเสร็จสิ้น ตามพระราชบัญญัติกำหนดไว้ นั่นหมายถึงว่า จะอีกกี่ปีไม่มีใครรู้
ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยตาม พระราชบัญญัติใหม่ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน เพราะ นายปริวัฒน์ ยังรักษาการนายกสภามหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติเก่าต่อไปซึ่งก็เหมือนกันกับตำแหน่งอธิการบดี ที่ไม่รู้จะถึงเมื่อไหร่ซึ่งจะได้นายกสภาคนใหม่มาตามกระบวนการ
จากปัญหาที่หาข้อสรุปยากมากและเลยเวลาที่ควรมานานกว่า 2 ปีนี้ มีตัวแทนสำนักงานกฤษฎีกา ได้กล่าวชี้แจงต่อ กรรมาธิการการกีฬาสภาผู้แทนราษฏร สรุปให้เห็นปัญหาว่า มีบางส่วนของ พระราชบัญญัติฉบับใหม่ ในบทเฉพาะกาลที่กำหนดกลไกของการโอนสถาบันการพลศึกษามาเป็นมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ บางประเด็นที่มีความซับซ้อน ซึ่งผู้ยกร่างพระราชบัญญัติขณะนั้นอาจจะไม่สามารถคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลบังคับใช้
จากบทสรุปเรื่องนี้ ที่ได้ศึกษาข้อมูลและคุย ๆ กับผู้เกี่ยวข้องแล้ว เชื่อว่าก็คงยาวกันต่อไปซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้ข้อยุติและจะได้ข้อยุติแบบไหน แต่ที่แน่ ๆ ในเมื่อ พระราชบัญญัติไม่ว่าจะเป็นเก่าหรือใหม่ที่เกี่ยวข้องนี้ ระบุแค่ว่าให้อธิการบดีเดิมนี้ทำหน้าที่ไปจนกว่าจะได้อธิการบดีที่ผ่านการสรรหามาใหม่ ซึ่งทุกคนที่ทำหน้าที่วันนี้ไม่ว่าจะเป็นอธิการบดี หรือรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาครวม 110 คน ที่มาตามอำนาจของอธิการบดี ก็ต้องลุยกันต่อไปและไม่มีกำหนดอายุเกษียณเสียด้วย เพราะกฎหมายมันเอื้อให้
ก็ภาวนาอย่าให้เกินร้อยปีก็แล้วกัน.