ช่วงที่ผ่านมามีเหตุการณ์หนึ่งที่ตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์ และสร้างความกังวลให้กับวงการกีฬาฟุตบอลในเมืองไทยเป็นอย่างมากคือกรณีเกิดการทำร้ายร่างกายผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามในช่วงท้ายของการแข่งขันโดยผู้เล่นของทีมที่มีคะแนนตามอยู่ด้วยการฟันศอกไปที่บริเวณใบหน้าจนถึงกับเป็นแผลแตก แม้ว่าการแข่งขันจนไปถึงการตัดสินลงโทษจากทางสมาคมฟุตบอลและจากสโมสรต้นสังกัดจะสิ้นสุดลงไปแล้ว หากแต่การวิเคราะห์ถึงกลไกทางด้านจิตวิทยาที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงดังกล่าวนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการป้องกันและแก้ไขไม่ให้เหตุการณ์ในรูปแบบเดียวกันเกิดขึ้นอีกในอนาคต
พฤติกรรมก้าวร้าว (Aggressive behavior) อันเป็นต้นเหตุนำไปสู่ความรุนแรง (Violence) นั้น หากมองในปัจจัยทางด้านบุคคลจะมีที่มาจากทั้งทางอุปนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด และทางการเรียนรู้ทางสังคมและประสบการณ์ที่ได้รับ เช่น การเห็นต้นแบบที่มีความคล้ายคลึงกันทำพฤติกรรมก้าวร้าว หรือสร้างความรุนแรงมาก่อนแล้วได้รับผลลัพธ์ไปในทางบวก หรือกระทั่งการไม่ได้รับผลใด ๆ ที่เป็นทางลบจากการกระทำนั้น จะเป็นการสั่งสมให้พฤติกรรมก้าวร้าวมีความเด่นชัดขึ้นในทุกครั้งที่แสดงออก จนกระทั่งเริ่มกลายเป็นความรุนแรง โดยอาจจะเริ่มจากความรุนแรงเล็กน้อยแล้วพัฒนาไปเป็นความรุนแรงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บอย่างรุนแรงต่อฝ่ายตรงข้ามในที่สุด
ซึ่งหากรวมกับมุมมองทางด้านกลไกการเกิดของพฤติกรรมก้าวร้าวและความรุนแรงอันมีที่มาจากความคับข้องใจ (Frustration) โดยความก้าวร้าวที่พัฒนาไปสู่ความรุนแรงในการกีฬาจะเป็นผลลัพธ์หากคับข้องใจนี้มีความรุนแรงมากเพียงพอ และไม่มีกลไกยับยั้ง เช่น ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หิริโอตัปปะ อันเป็นกลไกยับยั้งภายใน และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือกฎเกณฑ์และการควบคุมการแข่งขันอันเป็นกลไกยับยั้งภายนอกที่นักกีฬาไม่สามารถควบคุมได้เอง โดยเมื่อความคาดหวัง (Expectation) ของนักกีฬาที่มีต่อการแข่งขันไม่ได้รับการตอบสนอง เช่น ทีมเป็นฝ่ายตาม การที่คู่ต่อสู้ทำผิดกติกาเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ตลอดเกมโดยไม่ได้รับการลงโทษ ก็จะทำให้เกิดความคับข้องใจเกิดขึ้น และเมื่อกลไกการยับยั้งทั้งภายในและภายนอกไม่สามารถ หรือไม่มีการควบคุมความคับข้องใจได้อีกต่อไปก็จะได้พฤติกรรมก้าวร้าวและความรุนแรงตามมานั่นเอง
การคอยเตือนถึงผลลัพธ์อันเกิดจากการสร้างความรุนแรงในการแข่งขัน และการสร้างจิตสำนึกและน้ำใจนักกีฬาเป็นวิธีการที่ได้ผลวิธีหนึ่งในการป้องกันการเกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์นี้ หากแต่การสร้างกลไกยับยั้งภายนอกเพื่อที่จะควบคุมไม่ให้เกิดความรุนแรงก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ การใช้เทคโนโลยีเข้ามาประกอบการตัดสิน การพัฒนาระดับความสามารถของผู้ตัดสินให้มีความเท่าทันต่อเกมการแข่งขัน รวมไปถึงการคัดเลือกผู้ตัดสินจากทัศนคติที่มีความเข้มงวดต่อการทำผิดกติกา จนถึงการไม่ยั่วยุจากผู้ชม เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยลดเหตุการณ์รุนแรงในสนามให้เกิดน้อยลงจนไปถึงไม่เกิดเหตุการณ์ที่จะเป็นการทำลายวงการฟุตบอล หรือวงการกีฬาของไทยได้อีกในอนาคต.
ผศ. ดร. เบญจพล เบญจพลากร
คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย