ภาค 4 ฟ้าผ่ากรมพละ : เด้งอธิบดี-รองอธิบดี
ในช่วงปลาย ปี พ.ศ.2539 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่บิ๊กๆ ในวงการกีฬา ทั้งเรื่อง ดร.ณัฐ อินทรปาณ รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ลาออกจาก กกท. เพราะเหมือนโดนหมิ่นครหา ต่อมาก็ ดร.สมชาย ประเสริฐศิริพันธ์ ผู้ว่าการ กกท.ก็ยื่นหนังสือลาออก เพราะไม่สนองบิ๊กๆ การเมือง ต่อมาก็กรณี สิงห์ข้ามห้วย ดร.ศักดิ์ชาย ทัพสุวรรณ กระโดดจาก มศว ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผู้ว่าการ กกท..แทน ดร.สมชาย แบบ “ฟ้าผ่า”
ก่อนจะสิ้นปี พ.ศ.2539 ทางด้านกรมพลศึกษา หรือที่เรียกว่าดินแดนช้างสามเศียร ก็ไม่พ้น โดนด้วย
เมื่อช่วงนั้น คณะรัฐมนตรีเปลี่ยนจากชุดที่นำนาวาโดย นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี และเมื่อผ่านการเลือกตั้งใหม่เสร็จสิ้น ก็มาเป็นยุคของ “บิ๊กจิ๋ว” พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี
และก่อนคริสต์มาสแค่วันเดียวคือวันที่ 24 ธ.ค.2539 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่เพิ่งรวมตัวหลังการเลือกตั้ง 17 พ.ย.2539 ไม่ถึงเดือน ซึ่งมีบิ๊กจิ๋วนั่งหัวโต๊ะ ก็มีวาระหนึ่งที่สะเทือนวงการกีฬาอีกรอบ นั่นคือคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้เสนอ (กระทรวงศึกษาธิการตอนนั้นดูแลกรมพลศึกษา) นั่นคือการปรับโยกย้ายนอกฤดูกาล ในข้าราชการระดับ 10 ของกระทรวงศึกษาธิการ โดย นายกว้าง รอบคอบ อธิบดีกรมพลศึกษา ให้ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และให้นายไพฑูรย์ จัยสิน รองอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียน เข้ารับตำแหน่งแทน
โดยเบื้องหลังที่สื่อมวลชนขณะนั้นเสนอข่าวก็คือ เรื่องเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และหนีไม่พ้นเหมือน ๆ กันคือมีหนังสือร้องเรียน เรื่องการที่จะก่อสร้างอาคารกีฬากาญจนาภิเษก 9 ชั้น ในสนามกีฬาแห่งชาติปทุมวัน รวมทั้งเรื่องการทุบทิ้งสนามเทนนิสที่ศูนย์ฝึกกีฬาบ้านกล้วย ที่กรมพละยุคนั้นได้อนุมัติให้ทุบทิ้งแล้วให้เอกชนเข้าสรรหาประโยชน์ ที่ถูกมองว่าไม่เหมาะสมและมีเลศนัยแอบแฝง
โดยอธิบดีกว้าง รอบคอบนั้น ได้ย้ายมาจากกรมสามัญศึกษา ข้ามห้วยเข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษาเพียง 2 ปี ขณะที่นายไพฑูรย์ จัยสิน นั้นเมื่อ 2 ปีก่อนก็เป็นรองอธิบดีกรมพลศึกษาก่อนจะย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียน แล้วได้ย้ายกลับมาทำหน้าที่อธิบดีกรมพลศึกษา
และ 1 วันต่อมา ซึ่งเป็นวันคริสต์มาส กรมพลศึกษาก็โดนอีกระลอก เมื่อ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรัฐ ศิลปะอนันต์ ได้ใช้อำนาจตัวเองปรับย้ายระดับซี 9 ของกระทรวงต่อเนื่อง โดยให้นาย สุวรรณ กู้สจริต รองอธิบดีกรมพลศึกษา ไปรักษาราชการแทนตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และให้นายประสิทธิ แตงร่ม รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ให้ไปรักษาการตำแหน่งรองอธิบดีกรมพลศึกษา…ถือว่าสลับตำแหน่งกัน
โดยประเด็นของการสลับตำแหน่งรองอธิบดีกรมพลศึกษา ในวันนั้นก็หนีไม่ต้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันกับการเด้งอธิบดีกรมพลศึกษาเมื่อวันวาน นั่นเอง
สื่อกีฬาในยุคนั้น ได้สรุปว่า 2 รัฐบาลช่วงนั้น ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งในวงการกีฬา โดยเฉพาะการสลับหัวเรือใหญ่ของ การกีฬาแห่งประเทศไทย และ กรมพลศึกษา ที่ถือเป็นองค์กรหลักของวงการกีฬาในปีเดียวกัน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้ง 2 แห่งนั้น หนีไม่พ้นคำว่า “การเมืองแทรกแซงกีฬา” เช่นเดิม
จนมีคนเหน็บแนมว่า น่าจะเปลี่ยน ผู้นำคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย ที่ท่านพลเอก สุรพล บรรณกิจโสภณ รักษาการแทน พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกคนเดิมที่เสียชีวิตไปด้วย จะได้ครบทั้ง 3 องค์กรกีฬาหลักภายในปีเดียว
มีข่าวเขียนถึงเรื่องนี้จริง….ที่เหมือนทั้งเป็นการประชดการเมืองซะมากกว่า เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อมาจนข้ามปี 2539.