นายณัฏฐ์ ธีรณัฐสุภานนท์ ประธานมูลนิธิกองทุนพัฒนาการกีฬา เปิดเผยว่า ภายหลังคณะรัฐมนตรี ได้เห็นชอบพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากร หรือ มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการกีฬา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกีฬาของประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมกีฬา การบริการกีฬา และกิจกรรมกีฬาของประเทศ โดยผู้บริจาคให้หน่วยงานที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ได้แก่ การกีฬาแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกีฬาแห่งจังหวัด สมาคมกีฬาแห่งจังหวัด สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยหรือกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ และกรมพลศึกษา ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566-วันที่ 31 ธันวาคม 2567 โดยองค์กรเอกชนหรือผู้ที่สนใจที่บริจาคนั้นสามารถนำใบเสร็จการบริจาคไปใช้สิทธิหักลดหย่อนหรือหักรายจ่ายได้ 2 เท่านั้น ตนเองมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเงียบไปมากและเท่าที่ทราบ การบริจาคตามหน่วยงานต่าง ๆ ที่กำหนดนี้ ยังมีไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น
และได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวต่ออีกว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา จึงได้สรุปและนำหารือกับ นายปริญญา ฤกษ์หร่าย ประธานคณะกรรมาธิการการกีฬา สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.กีฬา) ในเรื่องการที่จะหาทางเข้าสนับสนุนในเรื่องการเข้าถึงภาษีกีฬา ซึ่งประธาน กมธ.กีฬา ซึ่งได้ติดตามเรื่องนี้มาก่อนแล้ว จึงได้เห็นพ้องทันทีว่า ในสมัยการประชุมสภาที่จะถึงในข้างหน้านี้ จะนำเรื่องนี้เข้าหารือในคณะกรรมาธิการ เพื่อให้กรรมาธิการทุกท่านได้ร่วมกันวางแผนการเข้าไปสนับสนุน หรือช่วยกันวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรค ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่นองค์กรเอกชนหรือประชาชนทั่วไปอาจจะเข้าใจถึงประโยชน์ที่จะได้ไม่ทั่วถึง หรือด้านอื่น ๆ ที่อาจจะมี โดยจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งสำนักงบประมาณ กรมสรรพากร รวมทั้งหน่วยงานที่เปิดให้รับบริจาค มานั่งคุยกันให้ข้อมูลโดยตรง เพื่อที่จะทำให้โครงการที่ดีนี้เกิดผลสัมฤทธิ์ขึ้นมาเร็วที่สุด โดยประธานคณะกรรมาธิการการกีฬาฯ มีความตั้งใจมาก และตนเองเชื่อว่าจากแนวทางที่จะบูรณาการร่วมกันของทุกส่วนนี้ จะทำให้เรื่องภาษีกีฬาก่อให้เกิดผลดีต่องานกีฬาแน่ ประธานมูลนิธิกองทุนพัฒนาการกีฬา กล่าวในตอนท้าย