ประเด็นเกิดเมื่อวันที่ 21 มี.ค.2565 หลังจากที่กลุ่มนักกีฬาคนพิการทีมชาติไทยชนิดกีฬาหนึ่ง “ส่วนหนึ่ง” ต้องเดินทางจากการกีฬาแห่งประเทศไทย หัวหมาก กทม.ที่เก็บตัวเดิมไปเก็บตัวที่สุพรรณบุรี แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงที่หมายแล้วนั้น เรื่องของความคิดว่าไม่ไหวกับการอยู่ซ้อมที่นั่นก็เกิดกับนักกีฬาบางคน เพราะเหตุผลต่าง ๆ จึงมีนักกีฬา 1 คนขอกับโค้ชว่าอยากที่จะกลับไปซ้อมที่เดิมคือที่ กกท.หัวหมาก
ประเด็นจะไม่แรงถ้าระดับฝ่ายบริหารของสมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทยท่านหนึ่ง ไม่โพสต์ลง Facebook ส่วนตัว ซึ่งแม้จะเป็นพื้นที่ส่วนตัวแต่ก็ถือเป็นสื่อสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึง ด้วยเนื้อหายาวเหยียดแต่สรุปสั้น ๆได้ว่า “ฮีโร่ระดับใหญ่โตของไทยในกีฬาคนพิการเขายังไปอยู่ซ้อมตามค่ายซ้อมที่จัดให้ได้โดยการเสียสละเพื่อทำตามกติกากลุ่ม”
ที่แรงเพราะหลังจากโพสต์ลงไปแล้วนั้น มีคนแชร์มากมายและสำคัญอีกอย่างคือคนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็คอมเมนท์กันต่อๆ ซึ่งเหมือนกันกับการถาโถมหรือบุลลี่ใส่ นักกีฬาผู้นั้น ซึ่งทุกคนในกลุ่มจะรู้กันว่าเป็นใครก่อนที่จะขยายไปแม้ไม่มีการระบุชื่อเด็กก็ตาม
“แม่ปกป้องลูก” จากนั้นเมื่อมีกระแสอัดใส่ลูกจากโพสต์ และคนที่ไปคอมเมนท์ ด้านคุณแม่ของนักกีฬา ก็ลง Facebook ส่วนตัว เพื่ออธิบายถึงความไม่สะดวกที่ลูกต้องเจอในฐานะคนพิการ พร้อมตัดพ้อว่าหากจะถูกตัดออกจากทีมชาติก็คงยอม
และเท่าที่ทราบตอนนี้นั้นก็คือ แม่และลูกนักกีฬานั้นได้แจ้งต่อโค้ชขอกลับหัวหมากแล้ว
Station THAI ได้ข้อมูลเพิ่มเติมมาอีกพอสมควรกับรายละเอียดในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่าสาเหตุเกิดจากอะไรบ้าง และลึก ๆ ก็พอมีอะไรบ้าง แต่คงยังไม่ใช่หน้าที่ที่จะนำเสนอในวินาทีนี้เพราะ เรื่องนี้คนจัดการรับทราบข่าวสารนี้แล้ว คือ สมาคมกีฬาคนพิการแห่งประเทศไทย โดยมีการกีฬาแห่งประเทศไทยที่ควรร่วมสังเกตการณ์เพื่อหาข้อเท็จจริง ซึ่งเชื่อว่าเรื่องนี้จะมีความชัดเจนในอีกไม่กี่เพลาข้างหน้าแน่นอน
แต่สิ่งที่เราอยากจะร้องขอ “ในเบื้องต้น” นี้ก็คือ ฝ่ายบริหารสมาคมกีฬาคนพิการที่โพสต์ลง Facebook ส่วนตัว ในเรื่องราวที่แม้จะเป็นความคิดชัดเจน แต่กระทบจิตใจเด็กในสมาคม แม้จะเป็นคนเดียวหรือกี่คนนี้ ควรลบโพสต์ออก เพราะการทำหน้าที่ในสมาคมฯ เขาให้บริหารและจัดการ…แต่การใช้พื้นที่สื่อประเด็นแบบนี้ชัดเจนว่ามันไม่ใช่การจัดการตามฐานะในสมาคม
สองคือ คนที่ไปคอมเมนท์ลงไปด้วยความคิดต่าง ๆ นานา (ที่เราเก็บไว้ เพราะอยากรู้ปฏิกิริยาคนที่ตามเรื่องนี้) ก็ควรที่จะไปลบคอมเมนท์ตัวเองออกจากโพสต์นั้น เพราะต้องเข้าใจว่า เรื่องนี้ยังไม่มีข้อเท็จจริงที่ควรต้องรอฟัง การคอมเมนท์จะด้วยหลักการหรือหลักกู ถ้าความจริงไม่กระจ่าง “มันคือการบูลลี่” ที่เกิดขึ้นต่อเด็กและครอบครัว ที่เขากำลังอธิบาย-ตัดพ้อ-และขอความเข้าใจ
และระลึกไว้เสมอว่า เรื่องของความอ่อนไหวบางอย่าง “สื่อออนไลน์” ที่มีกรณีบูลลี่เข้ามาด้วยนั้น ถ้าข้อเท็จจริงมันยังไม่เกิด เราอย่าด่วนไปวิพากษ์ หรือ พิพากษาใครๆ แม้จะมองว่าเข้าข้างถูกก็ตามเพราะยังไม่มีการสรุป ถูก-ผิด
จึงให้ทุกฝ่ายใจเย็น ๆ แล้วให้รอการสรุปจากการหาข้อเท็จจริงทั้งจากมุมของสมาคมกีฬาคนพิการ และ การกีฬาแห่งประเทศไทย ในการเคลียร์ปัญหานี้ก่อน…เพราะจะไม่มีใครปล่อยเรื่องนี้ให้คลุมเครือแน่ แม้แต่เราก็สนใจ
#โปรดรอติดตามตอนต่อไป..