ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 4 อาคารฯ การกีฬาแห่งประเทศไทย เมื่อ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา นายประชุม บุญเทียม รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศ และวิทยาศาสตร์การกีฬา ได้เป็นประธานในการประชุมเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาเงินค้างจ่ายของสมาคมกีฬาต่าง ๆ ในช่วงระหว่าง ปี พ.ศ.2560-2563 ร่วมกับตัวแทนจาก 40 สมาคมกีฬา ที่ยังติดขัด ซึ่งเป็นไปตามคำบัญชาของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้แสดงความห่วงใย

โดยนายประชุมได้กล่าวภายหลังจากการร่วมกันหารือกับสมาคมต่างๆ ว่า จากที่ท่านพลเอกประวิตร มีบัญชา และ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทยได้มอบหมายนั้น การหารือครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 โดยการหารือครั้งแรกนั้น ครอบคลุมการเบิกจ่ายจากปีงบประมาณ 2560-2564 ที่มีงบค้างอยู่ถึง  894 ล้านบาทจาก 86 สมาคมกีฬา แต่พอทีทางสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แนะนำว่าในปีงบประมาณ 2564 นั้นทางสมาคมคงต้องรอเอกสารการเบิกจ่าย และอาจจะเป็นการเร่งรัดมากเกินไป จึงให้ยกปีงบประมาณ 2564 ออกไป การประชุมครั้งที่ 2 จึงได้ดูเรื่องการเบิกจ่ายเฉพาะช่วงปีงบประมาณ 2560-2563 เท่านั้น ที่มีเงินยอดตั้งค้างจ่ายรวม 237 กว่าล้านบาท และเหลือสมาคมที่ติดขัดด้านเอกสารอยู่ 40 สมาคมกีฬา

ซึ่งการร่วมหารือในครั้งที่ 3 นี้ ก็ได้บทสรุปที่ชัดเจน เรื่องการทำความเข้าใจในเรื่องเอกสารการเคลียร์เงินด้านต่าง ๆ ของสมาคมกีฬา ซึ่งวันนี้ได้เชิญ นายปรีชา ลาลุน ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนากีฬาเป็นเลิศ และตัวแทนจากฝ่ายคลังของการกีฬาแห่งประเทศไทย เข้าร่วมกันแก้ไข และหาทางออก ในวงเงินรวมแล้ว 237 กว่า ล้านบาท ที่ปัญหาส่วนใหญ่ของแต่ละสมาคมกีฬาที่ยังเบิกไม่ได้นั้นคือเรื่องเอกสารประกอบการเบิก

ตนเองได้ร่วมหารือกับทุกฝ่ายว่า เราต้องทำความเข้าใจในบทบาทของแต่ละฝ่ายที่มีส่วนร่วมในกระบวนการการเบิกจ่ายนี้ ที่ต้องแยกออกในการเบิกจ่ายว่าปัญหาของแต่ละสมาคมอยู่ที่ไหนทำไมถึงเบิกจ่ายไม่ได้ ที่พบคือเรื่องเอกสารส่วนหนึ่งของแต่ละสมาคมกีฬายังไม่ถูกต้อง ในการประชุมครั้งนี้จึงมีมติร่วมกันว่า ในวันที่ 29 เม.ย.ที่จะถึงนี้จะต้องจบในเรื่องเอกสารทั้งหมด หากส่วนรายการไหนที่เคลียร์แต่ไม่มีเอกสารการใช้จ่ายที่เป็นจริงตามระเบียบการเบิกมาประกอบ ก็ต้องให้สมาคมมีหนังสือยืนยันว่าไม่ประสงค์ขอเบิกรายการนั้น ๆ  มา เพื่อที่จะได้ให้รายการส่วนอื่น ๆ ที่ถูกระเบียบนั้นสามารถเดินหน้าต่อสู่การเบิกจ่ายได้ ฉะนั้นวันที่ 29 เม.ย.นี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเปิดโอกาสให้ส่งเอกสาร และจากนั้นการกีฬาแห่งประเทศไทยก็จะสรุปทั้งหมดเพื่อทำเรื่องเบิกตามกระบวนการต่อไปอย่างเร็วที่สุด และตนเองอยากบอกอีกว่า การทำงานร่วมกันนั้นเป็นไปอย่างการพี่น้องดูแลกัน ไม่ใช่การจับผิด ไม่มีการคาดโทษหรือลงโทษอะไรในความผิดพลาดด้านเอกสาร แต่เป็นการทำงานร่วมกันส่งเสริมกัน บอกกล่าวกันในปัญหาและร่วมแก้ปัญหาช่วยเหลือสนับสนุนกันไม่ว่าจะเป็นทีมงาน กกท.หรือสมาคมกีฬา เราเป็นพี่น้องที่ต้องทำงานร่วมกันตลอดไป และจากสิ่งที่ค้างผ่านๆ มา ปัญหาที่ผู้ใหญ่ห่วงใยและมอบหมายมาจะจบแน่นอน และจากนี้ต่อไปในอนาคตก็ทำให้เชื่อว่าทุกอย่างจากความเข้าใจนี้จะเป็นผลที่ดีต่องานเอกสารจากสมาคม และการสอดประสานจากทีมงาน กกท.ที่ต้องใกล้ชิดกันตลอด นายประชุมกล่าว