บพท. เร่งมือแก้วิกฤตเดินหน้าร่วมกับสถาบันการศึกษาทั่วประเทศเสริมพลังความรู้แก้ความยากจน ตั้งเป้าปี 2565 ต่อยอดให้คนจนช่วยเหลือตัวเองได้เพิ่มขึ้น 40,000 คน ตามโครงการ 20 อำเภอแก้จนในจังหวัดต้นแบบ 20 แห่ง เสริมด้วยการสร้างตำบลเข้มแข็ง 300 แห่ง และกลุ่มธุรกิจท้องถิ่น 300 กลุ่ม
นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เปิดเผยว่า บพท. กำหนดกลยุทธ์ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้เป็นวาระสำคัญ ตอบรับกับความต้องการของประเทศและสังคม ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดของ โควิด-19 และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากวิกฤตการความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน
“เรากำหนดให้งานวิจัยมีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อรับมือกับปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เป็นอยู่ แต่นอกจากการให้ความช่วยเหลือคนยากจนให้เข้าถึงสวัสดิการแล้ว จะต้องต่อยอดงานเดิมให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้ยั่งยืนในระยะต่อไป”
ในระยะสองปีที่ผ่านมา บพท. ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัยและชุมชน ค้นพบประชาชนยากจนที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ จำนวนกว่า 850,000 คน และส่งเข้าระบบสวัสดิการแล้วกว่า 550,000 คน ในปีนี้ บพท.ได้จัดทำโครงการ 20 อำเภอแก้จน ขึ้น เพื่อยกระดับการแก้ปัญหาความยากจนให้มีคุณภาพ และประสิทธิภาพดีขึ้น สนับสนุนให้คนจนหลุดพ้นจากความยากจนอย่างยั่งยืน
จากการค้นหาผู้ยากจนดังกล่าว ทำให้ บพท.สามารถพัฒนาระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนระดับพื้นที่ (Practical Poverty Platform-PPP Connext) ขึ้นมา เป็นเครื่องชี้วัดความยากจนหลากมิติ ได้แก่ ด้านทุนมนุษย์ ทุนเศรษฐกิจ ทุนธรรมชาติ ทุนกายภาพ และทุนสังคม เพื่อช่วยออกแบบการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานะความยากจนรายครัวเรือน
“เราไม่ได้จะมุ่งหาคนจนไปรับสวัสดิการ แต่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขา จึงมีโครงการ 20 อำเภอแก้จน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะใช้งานวิจัยพาเขาก้าวต่อไปจนหลุดพ้นจากความยากจน ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี”
ทั้งนี้ บพท.กำหนดเป้าหมายโครงการ 20 อำเภอ 20 โมเดล แก้จนใน 20 จังหวัด จะครอบคลุมคนจนอย่างน้อย 40,000 คน ให้ได้รับความช่วยเหลือผ่านกระบวนการเชิงนวัตกรรม ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการพัฒนาอาชีพ และเพิ่มรายได้
นาย กิตติ เปิดเผยต่อว่า นอกจากการแก้ปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จแล้ว บพท.ยังร่วมงานวิจัยกับสถาบันการศึกษาในด้านอื่น ๆ ตามยุทธศาสตร์สำคัญสามด้าน คือ 1.ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาคน และกลไกจากฐานทุนทรัพยากรพื้นถิ่น และทุนทางวัฒนธรรม 2.ยุทธศาสตร์พัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ และ 3.ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองน่าอยู่ และเมืองแห่งการเรียนรู้
ดังนั้น นอกจากเป้าหมายตามโครงการ 20 อำเภอแก้จนแล้ว บพท. ยังส่งเสริมงานวิจัยในที่อื่น ๆ กว่า 60 จังหวัด พร้อมเป้าหมายจะพัฒนา 300 ตำบลนวัตกรรม พึ่งตนเอง และผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนเพิ่มขึ้นอีก 300 กลุ่ม เป็นต้น
“งานของ บพท.ไม่ใช่งานพัฒนาชนบท แต่เป็นการส่งเสริมการพัฒนาชนบทและเมืองด้วยงานวิชาการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศในการแก้ปัญหา โดยเน้นความร่วมมือจากในพื้นที่ที่มีปัญหาเป็นหลัก เราจึงส่งเสริมนวัตกรรมในหลายมิติที่สามารถต่อยอดได้ ทั้งเรื่องทุนวัฒนธรรม ธุรกิจชุมชน”
เมื่อสิ้นปี 2564 บพท. กับ 99 สถาบันการศึกษา ได้พัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ จนสามารถสร้างวิสาหกิจเชิงวัฒนธรรม 6,000 ราย สร้างนวัตกรรมพร้อมใช้ 763 นวัตกรรม พัฒนาให้เกิดธุรกิจชุมชน 995 กลุ่ม และพัฒนาให้เกิดชุมชนนวัตกรรม 546 ชุมชน ใน 48 จังหวัด ครอบคลุม 276 อำเภอ
ในด้านความรู้นั้น ปรากฎว่า มีนวัตกรชาวบ้านเกิดขึ้นกว่า 2,700 คน ที่จะเป็นผู้นำการพัฒนาต่อไป ตลอดจนงานพัฒนาเมืองเพื่อสร้างสังคมน่าอยู่รองรับอนาคต จนเกิดบริษัทพัฒนาเมืองขึ้น 20 แห่ง ความรู้ในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ 16 ชุด แนวทางการลงทุนระดับพื้นที่ 5 พื้นที่ และหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ 20 หลักสูตร
สำหรับ 20 จังหวัดต้นแบบ ที่เป็นเป้าหมายการยกระดับการแก้ปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำในปี 2565 ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ ชัยนาท ปัตตานี มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ นครราชสีมา เลย ร้อยเอ็ด ลำปาง พิษณุโลก พัทลุง ยะลา นราธิวาส และ อุบลราชธานี