“โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม” เกิดขึ้นจาก ท่านประธานอาวุโส คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ได้รับการถ่ายทอดจาก ดร.โทมัส หยี นักวิชาการด้านการเกษตรจากประเทศไต้หวัน ว่า สถิติอาชญากรรมในประเทศไต้หวัน ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ มีประวัติเป็นเด็กกำพร้าจากสถานสงเคราะห์ เพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ขาดความผูกพัน เป็นเหมือนระเบิดเวลาของสังคม ควรหาครอบครัวช่วยดูแลทดแทนพ่อแม่ที่เด็กขาดไป การทำให้เด็ก ๆ เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่ในชุมชนที่มีวัฒนธรรมอันดีงาม มีสถาบันครอบครัวและชุมชนเป็นแกนหลัก พัฒนา หล่อหลอม อบรมบ่มนิสัยให้เด็ก ๆ เจริญเติบโตทั้งด้านร่างกายและจิตใจ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เล่าถึงที่มาของโครงการฯ
โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2545 เพื่อส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา กล่อมเกลา ให้เด็กกำพร้าเป็นคนดี เป็นพลเมืองดีที่มีประสิทธิภาพ เป็นกระบวนการหนึ่งของการร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดี และร่วมแก้ไขปัญหาระยะยาวของประเทศชาติ โดยมุ่งหวังให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัวทดแทน ในสภาพแวดล้อมของชุมชนวัฒนธรรมอีสาน ให้พวกเขามีพัฒนาการสมวัย มีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ และให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาสูงสุดตามศักยภาพ และเป็นคนดีของสังคม
ที่ผ่านมา เครือซีพี และ มูลนิธิฯ ได้ผนึกกำลังกับหน่วยงานร่วมเจตนารมณ์ ทั้ง กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สหทัยมูลนิธิ องค์กร Care for Children (Thailand) องค์กร Step Ahead Bangkok และหน่วยงานในพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ทั้งจังหวัด อำเภอ ตำบล สถานศึกษา สถานพยาบาล และวัด ในการเดินหน้ายุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และตอบสนองความต้องการของเด็กอุปการะ ให้ได้มากที่สุด
“การดำเนินโครงการที่ผ่านมามูลนิธิฯ ไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ ต้องอาศัยการบูรณาการแบบมีส่วนร่วมจากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เนื่องจากกระบวนการบางขั้นตอนต้องทำด้วยความระมัดระวัง และอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย ระเบียบ และหลักการดำเนินงานทางสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเด็กและครอบครัวอุปการะ ภายใต้กระบวนการดำเนินโครงการฯ 12 ขั้นตอน โดยเริ่มจากพื้นที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากนั้นในปี 2563 ได้ร่วมกับ กรมกิจการเด็กและเยาวชน ขยายโครงการไปยังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำร่อง 3 จังหวัด คือ ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย” นายจอมกิตติ กล่าว
สำหรับการดำเนินโครงการฯ นั้นเริ่มจากการรับเด็กอายุ 5-6 ปี จาก สถานสงเคราะห์ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ สหทัยมูลนิธิ ในฐานะสถานสงเคราะห์เอกชน เพื่อให้ไปอยู่กับครอบครัวอุปการะที่มูลนิธิฯ พิจารณาคัดเลือกตามความเหมาะสมให้กับเด็กแต่ละราย เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ในสภาพแวดล้อมชุมชน ที่เอื้อต่อการมีวิถีชีวิตที่ดีงาม พร้อมให้ได้รับการศึกษาสูงสุดตามศักยภาพจนถึงอุดมศึกษา หรือ การศึกษาสายอาชีพตามความสามารถและความถนัด เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ
จากการดำเนินงานกว่า 19 ปี มีเด็กอุปการะร่วมโครงการครอบครัวอุปการะฯ รวม 346 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ออกจากโครงการฯ ไปแล้ว 272 คน โดยไปอยู่กับครอบครัวบุญธรรมต่างประเทศ และไทย 50 คน กลับคืนสู่ครอบครัวเดิม 212 คน และกลับคืนสถานสงเคราะห์ 13 คน มีเด็กที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี 4 คน ส่วนอีกกลุ่มเป็นเยาวชนที่กำลังอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิฯ รวม 67 คน
พ่อบุญเพ็ง นาคสูงเนิน อายุ 62 ปี หนึ่งในครอบครัวอุปการะ ชาวตำบลเมืองแฝก อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ผู้เข้าร่วมโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2546 กล่าวว่า ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ไร่มันสำปะหลัง เลี้ยงวัว เลี้ยงปลา และเกษตรผสมผสาน มีลูกชาย 1 คน หญิง 1 คน ที่ผ่านมาครอบครัวเคยอุปการะเด็กมาแล้ว 3 คน เรียนจบปริญญาตรี 1 คน และกลับครอบครัวเดิม 2 คน โดยปัจจุบันยังดูแลเด็กอุปการะเด็กหญิงอยู่ 2 คน ที่ผ่านมาตนได้เข้าร่วมโครงการเกษตรผสมผสานอาขีพ 7 อาชีพ 7 รายได้ ของ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และโครงการธนาคารโคกระบือ ของ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ อยู่แล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ แจ้งว่าต้องการครอบครัวเกษตรกรที่มีจิตอาสา สามารถเป็นครอบครัวอุปการะเลี้ยงดูเด็กกำพร้า เพื่อช่วยบ่มเพาะเด็ก ๆ ให้ได้เรียนรู้และมีทักษะด้านการเกษตร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งครอบครัวมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของโครงการ ประกอบกับ อยากช่วยเหลือเด็ก ๆ ให้มีบ้านและครอบครัวดูแล จึงสมัครเข้าร่วมโครงการ
สำหรับการเลี้ยงเด็กอุปการะ พ่อบุญเพ็งบอกว่า ไม่แตกต่างกับการเลี้ยงดูบุตรของตนเอง คือ ครอบครัวต้องดูแล ให้ความรัก ความอบอุ่นกับเด็กอย่างเพียงพอ ซึ่งตนเองมีแนวคิดในการเลี้ยงดูเด็ก ๆ คือ การพาพวกเขาลงมือทำเกษตร เพราะนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างทักษะให้กับเด็ก ๆ แล้ว ยังถือเป็นกิจกรรมที่ได้มีเวลาอยู่ร่วมกัน โดยจะใช้เวลาที่ทำกิจกรรมเกษตร เช่น เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ปลูกผัก ในการสอนเด็ก ๆ ให้เรียนรู้เรื่องอื่น ๆไปพร้อมกันด้วย ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว บ่มเพาะเด็กให้มีความรับผิดชอบ และเป็นคนใจเย็น พ่อบุญเพ็งรู้สึกดีใจที่ครอบครัวนาคสูงเนินได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างอนาคตให้กับเด็ก ๆ และภูมิใจที่ลูกอุปการะเรียนจบปริญญาตรี มีอาชีพการงานทำที่ดี และขอบคุณมูลนิธิฯ ที่เข้ามาช่วยดูแลเด็ก ๆ คอยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษา สนับสนุน และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับเด็กด้วย