มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ สานต่อ “โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม” เติมเต็มความอบอุ่น บ่มเพาะพลเมืองดีของสังคม

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

“โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม” เกิดขึ้นจาก ท่านประธานอาวุโส คุณธนินท์ เจียรวนนท์ ได้รับการถ่ายทอดจาก ดร.โทมัส หยี นักวิชาการด้านการเกษตรจากประเทศไต้หวัน ว่า สถิติอาชญากรรมในประเทศไต้หวัน ผู้กระทำผิดส่วนใหญ่ มีประวัติเป็นเด็กกำพร้าจากสถานสงเคราะห์ เพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ขาดความผูกพัน เป็นเหมือนระเบิดเวลาของสังคม ควรหาครอบครัวช่วยดูแลทดแทนพ่อแม่ที่เด็กขาดไป การทำให้เด็ก ๆ เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี อยู่ในชุมชนที่มีวัฒนธรรมอันดีงาม มีสถาบันครอบครัวและชุมชนเป็นแกนหลัก พัฒนา หล่อหลอม อบรมบ่มนิสัยให้เด็ก ๆ เจริญเติบโตทั้งด้านร่างกายและจิตใจ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นายจอมกิตติ ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืนภาครัฐและกิจการสัมพันธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และผู้ช่วยบริหารสำนักประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ในฐานะกรรมการและเลขาธิการมูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท เล่าถึงที่มาของโครงการฯ

โครงการครอบครัวอุปการะในชุมชนวัฒนธรรม เริ่มดำเนินการเมื่อปี 2545 เพื่อส่งเสริม สนับสนุน พัฒนา กล่อมเกลา ให้เด็กกำพร้าเป็นคนดี เป็นพลเมืองดีที่มีประสิทธิภาพ เป็นกระบวนการหนึ่งของการร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดี และร่วมแก้ไขปัญหาระยะยาวของประเทศชาติ โดยมุ่งหวังให้เด็กกลุ่มนี้ได้รับการเลี้ยงดูด้วยความรักความอบอุ่นจากครอบครัวทดแทน ในสภาพแวดล้อมของชุมชนวัฒนธรรมอีสาน ให้พวกเขามีพัฒนาการสมวัย มีความมั่นคงทางอารมณ์และจิตใจ และให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาสูงสุดตามศักยภาพ และเป็นคนดีของสังคม

ที่ผ่านมา เครือซีพี และ มูลนิธิฯ ได้ผนึกกำลังกับหน่วยงานร่วมเจตนารมณ์ ทั้ง กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สหทัยมูลนิธิ องค์กร Care for Children (Thailand) องค์กร Step Ahead Bangkok และหน่วยงานในพื้นที่ดำเนินโครงการฯ ทั้งจังหวัด อำเภอ ตำบล สถานศึกษา สถานพยาบาล และวัด ในการเดินหน้ายุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และตอบสนองความต้องการของเด็กอุปการะ ให้ได้มากที่สุด

“การดำเนินโครงการที่ผ่านมามูลนิธิฯ ไม่สามารถทำเพียงลำพังได้ ต้องอาศัยการบูรณาการแบบมีส่วนร่วมจากทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน เนื่องจากกระบวนการบางขั้นตอนต้องทำด้วยความระมัดระวัง และอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย ระเบียบ และหลักการดำเนินงานทางสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของเด็กและครอบครัวอุปการะ ภายใต้กระบวนการดำเนินโครงการฯ 12 ขั้นตอน โดยเริ่มจากพื้นที่อำเภอลำปลายมาศ จังหวัดบุรีรัมย์ และอำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากนั้นในปี 2563 ได้ร่วมกับ กรมกิจการเด็กและเยาวชน ขยายโครงการไปยังพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นำร่อง 3 จังหวัด คือ ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย” นายจอมกิตติ กล่าว

สำหรับการดำเนินโครงการฯ นั้นเริ่มจากการรับเด็กอายุ 5-6 ปี จาก สถานสงเคราะห์ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และ สหทัยมูลนิธิ ในฐานะสถานสงเคราะห์เอกชน เพื่อให้ไปอยู่กับครอบครัวอุปการะที่มูลนิธิฯ พิจารณาคัดเลือกตามความเหมาะสมให้กับเด็กแต่ละราย เป็นผู้เลี้ยงดูเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ในสภาพแวดล้อมชุมชน ที่เอื้อต่อการมีวิถีชีวิตที่ดีงาม พร้อมให้ได้รับการศึกษาสูงสุดตามศักยภาพจนถึงอุดมศึกษา หรือ การศึกษาสายอาชีพตามความสามารถและความถนัด เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ

จากการดำเนินงานกว่า 19 ปี มีเด็กอุปการะร่วมโครงการครอบครัวอุปการะฯ รวม 346 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ออกจากโครงการฯ ไปแล้ว 272 คน โดยไปอยู่กับครอบครัวบุญธรรมต่างประเทศ และไทย 50 คน กลับคืนสู่ครอบครัวเดิม 212 คน และกลับคืนสถานสงเคราะห์ 13 คน มีเด็กที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี 4 คน ส่วนอีกกลุ่มเป็นเยาวชนที่กำลังอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิฯ รวม 67 คน

พ่อบุญเพ็ง นาคสูงเนิน อายุ 62 ปี หนึ่งในครอบครัวอุปการะ ชาวตำบลเมืองแฝก อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ ผู้เข้าร่วมโครงการฯ มาตั้งแต่ปี 2546 กล่าวว่า ครอบครัวประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนา ไร่มันสำปะหลัง เลี้ยงวัว เลี้ยงปลา และเกษตรผสมผสาน มีลูกชาย 1 คน หญิง 1 คน ที่ผ่านมาครอบครัวเคยอุปการะเด็กมาแล้ว 3 คน เรียนจบปริญญาตรี 1 คน และกลับครอบครัวเดิม 2 คน โดยปัจจุบันยังดูแลเด็กอุปการะเด็กหญิงอยู่ 2 คน ที่ผ่านมาตนได้เข้าร่วมโครงการเกษตรผสมผสานอาขีพ 7 อาชีพ 7 รายได้ ของ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์พัฒนาชีวิตชนบท และโครงการธนาคารโคกระบือ ของ มูลนิธิเจริญโภคภัณฑ์ อยู่แล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ แจ้งว่าต้องการครอบครัวเกษตรกรที่มีจิตอาสา สามารถเป็นครอบครัวอุปการะเลี้ยงดูเด็กกำพร้า เพื่อช่วยบ่มเพาะเด็ก ๆ ให้ได้เรียนรู้และมีทักษะด้านการเกษตร ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งครอบครัวมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของโครงการ ประกอบกับ อยากช่วยเหลือเด็ก ๆ ให้มีบ้านและครอบครัวดูแล จึงสมัครเข้าร่วมโครงการ

สำหรับการเลี้ยงเด็กอุปการะ พ่อบุญเพ็งบอกว่า ไม่แตกต่างกับการเลี้ยงดูบุตรของตนเอง คือ ครอบครัวต้องดูแล ให้ความรัก ความอบอุ่นกับเด็กอย่างเพียงพอ ซึ่งตนเองมีแนวคิดในการเลี้ยงดูเด็ก ๆ คือ การพาพวกเขาลงมือทำเกษตร เพราะนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างทักษะให้กับเด็ก ๆ แล้ว ยังถือเป็นกิจกรรมที่ได้มีเวลาอยู่ร่วมกัน โดยจะใช้เวลาที่ทำกิจกรรมเกษตร เช่น เลี้ยงปลา เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ ปลูกผัก ในการสอนเด็ก ๆ ให้เรียนรู้เรื่องอื่น ๆไปพร้อมกันด้วย ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว บ่มเพาะเด็กให้มีความรับผิดชอบ และเป็นคนใจเย็น พ่อบุญเพ็งรู้สึกดีใจที่ครอบครัวนาคสูงเนินได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างอนาคตให้กับเด็ก ๆ และภูมิใจที่ลูกอุปการะเรียนจบปริญญาตรี มีอาชีพการงานทำที่ดี และขอบคุณมูลนิธิฯ ที่เข้ามาช่วยดูแลเด็ก ๆ คอยให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษา สนับสนุน และช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้กับเด็กด้วย

 

RANDOM

NEWS

สสส. ร่วมกับ สคล. เชิญชวนโรงเรียนประถมศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม “มารู้จักเจ้าชายภูมิพลกันเถอะ” ดาวน์โหลดรายละเอียดกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ ‘โรงเรียนคำพ่อสอน.com’ พร้อมรับเกียรติบัตรจากทางโครงการฯ สมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกวดเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ หัวข้อ “ASEAN-IPR Cybersecurity Youth Essay Competition” ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าร่วมการประชุม ASEAN-IPR Regional Conference on Cybersecurity และมีโอกาสนำเสนอเรียงความในที่ประชุมดังกล่าว สมัครด่วน หมดเขต 22 พ.ย. นี้

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!