พื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งของประเทศไทย เป็นหนึ่งในศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนม กลุ่มวาฬ และโลมา 27 ชนิด ซึ่งมีบทบาทหน้าที่และบริการทางระบบนิเวศที่สำคัญในแง่ของการเป็นผู้กักเก็บ และหมุนเวียนธาตุอาหาร และคงความสมดุลของระบบนิเวศระดับกลุ่มของสิ่งมีชีวิต ในฐานะผู้บริโภคชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่สัตว์กลุ่มดังกล่าว กำลังถูกคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และกิจกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการติดและกินเครื่องมือประมง การเฉี่ยวชนกับเรือ การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ตลอดจนมลพิษทางทะเล “นำไปสู่การลดลงของประชากรขั้นวิกฤต จนเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ คือ ประชากรโลมาอิรวดี ซึ่งการสูญหายไปของสัตว์ผู้ล่าชั้นบนสุดจะส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ”
ดร.วรธา กลิ่นสวาท อาจาย์ประจำคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี และ ศูนย์วิจัย Conservation Ecology ร่วมกับ นักศึกษาปริญญาโท นาย Trifan Budi มจธ. อาจารย์และหน่วยงานภาครัฐรวม 4 เครือข่าย คือ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬากรณ์มหาวิทยาลัย คณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มจธ. และ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ภายใต้โครงการ “การประเมินผลกระทบของกิจกรรมมนุษย์ต่อโครงสร้างประชากร และความหลากหลายทางพันธุกรรมของโลมาอิรวดี (Orcaella ฺbrevirostris) ในประเทศไทย และประเทศอินโดนีเซีย” ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยอาซาฮี ประจำปี 2563 สาขาสิ่งแวดล้อม (Environment)
เป้าหมายของการวิจัย คือ เพื่อประเมินว่าประชากรโลมาอิรวดีบริเวณชายฝั่งอ่าวไทย และแม่น้ำมหาคามในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีแนวโน้มว่าลดลงอย่างต่อเนื่อง และอาจถูกตัดขาดจนเป็นหย่อมประชากร (Fragmented Population) มีความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลงหรือไม่ และมีปัจจัยทางสภาพแวดล้อมใดส่งผลต่อรูปแบบและช่วงเวลาแยกสายวิวัฒนาการเชิงภูมิศาสตร์ในอดีต โดยประยุกต์ใช้เทคนิคทางอณูชีววิทยาในการพัฒนาชุดเครื่องหมาย Mitochondrial Genome (Mitogenome) Primers และสร้างฐานข้อมูลความหลากหลายทางพันธุกรรมสายแม่ และโครงสร้างทางพันธุศาสตร์ประชากรในอดีต ซึ่งฐานข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามการเปลี่ยนแปลงความหลากหลายทางพันธุกรรมระดับประชากร วางแผนลดภัยคุกคามและจัดการถิ่นอาศัย ตลอดจนพยากรณ์ผลกระทบของสภาพภูมิอากาศต่อโอกาสในการปรับตัวและอยู่รอด (Adaptive Potential) ในระยะยาว
ผลการวิจัยเบื้องต้น พบว่า ความหลากหลายทางพันธุกรรม Mitogenome ของประชากรโลมาอิรวดีในไทยสูงกว่าในอินโดนีเซีย และการวิเคราะห์โครงสร้างทางพันธุศาสตร์ พบว่า มีความแตกต่างระหว่างประชากรชายฝั่งอ่าวไทยตอนบน ตอนล่าง และประชากรในอินโดนีเซีย โดยการพบความหลากหลายทางพันธุกรรมระดับสูง และลักษณะทางพันธุกรรมเดียวกันที่แชร์ระหว่างประชากรภายในทะเลสาบสงขลา และประชากรชายฝั่งจังหวัดสงขลา สนับสนุนแนวคิดที่ว่า ยุคน้ำแข็งในอดีต ประชากรโลมาอิรวดีสามารถอพยพเคลื่อนย้ายระหว่างชายฝั่ง และทะเลสาบ ทำให้บรรพบุรุษของประชากรในอดีตมีขนาดใหญ่และสามารถรักษาความหลากหลายทางพันธุกรรมให้คงอยู่ จากนั้น เมื่อระบบน้ำจืดในอดีต (Palaeodrainage Systems) เอื้อต่อการอพยพเคลื่อนย้าย ประชากรส่วนหนึ่งอพยพจากทะเลสาบสงขลา-ชายฝั่งสงขลา มาสู่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ และตั้งประชากรในระบบนิเวศแม่น้ำมหาคาม ประเทศอินโดนีเซีย และในยุคน้ำแข็ง สมัยไพลสโตซีนช่วงปลาย (Late Pleistocene) ช่วงเวลาแยกสายวิวัฒนาการของประชากรแม่น้ำมหาคาม ราว ๆ สามแสนปีก่อน เป็นช่วงที่ใกล้เคียงกับการเริ่มแยกสายวิวัฒนาการของประชากรอ่าวไทยตอนบนและตอนล่าง ซึ่งการปรับตัวดังกล่าวอาจเป็นผลที่เกิดจากระดับน้ำทะเลที่เปลี่ยนแปลงในยุคธารน้ำแข็ง และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศน้ำจืด
ในปัจจุบัน นักวิจัย คาดว่า ภัยคุกคามต่อประชากรภายในทะเลสาบสงขลา ซึ่งอาจถูกตัดขาดจากประชากรชายฝั่งไปแล้ว ประกอบกับการติดและกินเครื่องมือประมง อุบัติเหตุการเฉี่ยวชนกับเรือ การสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัย ระดับเสียงรบกวนที่เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมการพัฒนา ทำให้ประชากรขนาดเล็กภายในทะเลสาบมีแนวโน้มที่มีการผสมพันธุ์แบบเลือดชิดภายในเครือญาติ อาจนำไปสู่การสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม และลดโอกาสในการที่สัตว์จะปรับตัวและอยู่รอดในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น ภัยคุกคามทางพันธุกรรม อาจแสดงออกในรูปแบบของการที่ลูกที่เกิดมาอาจมีอัตรารอดต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับประชากรชายฝั่ง หรือประชากรของสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ที่ไม่ได้มีสถานภาพเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ดังนั้น การสร้างเครือข่ายการวิจัยสัตว์ทะเลหายากที่เข้มแข็ง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านพันธุศาสตร์ นิเวศวิทยา และประชากรศาสตร์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการระบุปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเลือกใช้พื้นที่อาศัย และพยากรณ์แนวโน้มพฤติกรรมการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปในระยะยาว
แต่เนื่องจากการเก็บตัวอย่างโลมาเกยตื้น อาศัยระยะเวลานาน และอาจไม่ทันท่วงทีต่อการสร้างฐานข้อมูล เพื่อให้ภาครัฐนำไปประกอบการวางแผนการฟื้นฟูประชากรและถิ่นอาศัย ดังนั้น ทีมวิจัยเดิม จึงอยู่ระหว่างการพัฒนาเครื่องมือเพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศ (Ecological Monitoring) เช่น การพัฒนาเทคนิคการตรวจจับ environmental DNA (eDNA) จากการสำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำภายในทะเลสาบสงขลา ชายฝั่งทะเลอันดามัน และอ่าวไทย เพื่อทำให้ทราบว่า กลุ่มโลมา วาฬ และพะยูน มีการใช้พื้นที่และกระจายตัวอยู่ตรงไหนบ้าง และปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมใดที่ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จในการตรวจจับ eDNA ของสัตว์กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว โดยข้อดีของ eDNA คือ ไม่จำเป็นต้องพบเห็นตัวสัตว์โดยตรง สามารถประยุกต์ใช้กับการสำรวจสัตว์กลุ่มที่มีพื้นที่หากินกว้าง ความหนาแน่นต่ำ และอาจมีพฤติกรรมการหลบหลีก และไวต่อการรบกวน นำไปสู่การประเมินพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง (Biodiversity Hotspots) และการกำหนดพื้นที่สำคัญในการอนุรักษ์ (Conservation Priority Sites) เพื่อผลักดันมาตรการในการลดภัยคุกคามในพื้นที่ดังกล่าว เช่น การจัดระเบียบของเรือประมง การลดสิ่งกีดขวางการเคลื่อนที่และเครื่องมือทำการประมงผิดกฎหมาย รวมถึงการฟื้นฟูประชากรเหยื่อตามธรรมชาติของโลมา ซึ่งหากกระบวนการดังกล่าวสามารถดำเนินการอย่างเป็นระบบ และทันท่วงที จะทำให้แก้ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับการอนุรักษ์ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลและชายฝั่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ดร.วรธา กล่าวทิ้งท้ายว่า งานวิจัยดังกล่าวถือเป็นจุดเริ่มต้นในการจุดประกายเรื่องการอนุรักษ์โลมาอิรวดี และการรักษาระบบนิเวศชายฝั่งไม่ให้เสียสมดุล พร้อมทั้งยังเชื่อว่า เป้าหมายปลายทางของงานวิจัยนี้จะนำไปสู่ประโยชน์ในวงการพันธุศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย 1.ข้อมูลทางด้านพันธุศาสตร์ เมื่อนำไปผนวกกับนิเวศและประชากรศาสตร์ นักวิจัยจะสามารถดูภาพรวมและสถานภาพของประชากรว่าอยู่ในขั้นใกล้สูญพันธุ์มากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปสู่การจัดการด้านอื่น ๆ ได้ทันท่วงที 2.ความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องการอุปการะโลมาอิรวดี เพื่อให้เกิดความหลากหลายของข้อมูลในระดับภูมิภาค อันนำไปสู่ความร่วมมือของนักวิจัยสัตว์ทะเลหายากในภูมิภาคอาเซียนในการทำงานร่วมกันในอนาคต รวมทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนมาตรการลดภัยคุกคามเพื่ออนุรักษ์โลมาอิรวดีและสัตว์ทะเลเลี้ยงลูกด้วยนมในระดับประเทศ และระดับภูมิภาค อย่างยั่งยืน