รศ.ดร.อัศวิน มีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) กล่าวว่า ในกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาชีววัตถุและวัคซีนในยุคปัจจุบัน นอกเหนือจากนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และเภสัชกรที่ศึกษาค้นคว้าและสังเคราะห์ยาตัวใหม่ ๆ แล้ว วิศวกรในกระบวนการผลิตยาชีววัตถุและวัคซีน หรือที่เรียกว่า ไบโอฟาร์มาเอ็นจิเนีย (BioPharma Engineers) ก็มีความสำคัญเช่นกัน
“ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชกร จะเน้นไปที่การศึกษาเกี่ยวกับสารกลุ่มที่สนใจ ทั้งด้านโครงสร้างและคุณสมบัติ แต่การนำสิ่งที่พบ หรือพัฒนาไปสู่กระบวนการผลิตจริง จะต้องเป็นหน้าที่ของวิศวกร ที่จะต้องวิเคราะห์และคำนวนหลักเกณฑ์ หลักการ และโพรเซสที่ต้องใช้ในการขยายขนาดจากห้องปฏิบัติการมาสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ ซึ่งในส่วนนี้สอดคล้องกับการที่ มจธ. ได้มีการจัดสร้างโรงงานต้นแบบเพื่อผลิตยา ได้แก่ โรงงานผลิตยาชีววัตถุแห่งชาติ หรือที่เรียกว่า โรงงานเอ็นบีเอฟ (National Biopharmaceutical Facility : NBF) ในพื้นที่บางขุนเทียน ในช่วง 2551 ที่ทำให้เราต้องการวิศวกรชีวเภสัชภัณฑ์เพื่อมาทำหน้าที่นี้ตรงนี้ เหมือน ๆ กับความต้องการที่เกิดกับบริษัทผลิตยาทั้งในไทยและทั่วโลก”
นี่จึงเป็นที่มาของการเปิด หลักสูตรวิศวกรรมเคมี สายวิศวกรรมชีวเภสัชภัณฑ์ ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับปริญญาโท ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. เมื่อปี พ.ศ. 2556 เป็นหลักสูตรวิศวกรรมชีวเภสัชภัณฑ์หลักสูตรแรก และหลักสูตรเดียวในประเทศไทย จนถึงปัจจุบัน ซึ่ง รศ.ดร.อัศวิน ในฐานะผู้รับผิดชอบหลักสูตรนี้ กล่าวว่า แม้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ตามแผนที่ตั้งไว้ แต่ก็ยังไม่ตอบโจทย์ของสถานการณ์ในปัจจุบันเท่าที่ควร
“นับถึงวันนี้ มีผู้จบหลักสูตรระดับปริญญาโทของเรากว่า 45 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการบรรจุเข้าทำงานในบริษัทอุตสาหกรรมผลิตยา หรือ หน่วยงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาทั้งในและต่างประเทศ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ที่เกิดการระบาดของโรคติดต่อชนิดใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ไข้หวัดนก มาจนถึงโควิด การค้นคว้าวิจัยเพื่อหายาที่จะมาต่อสู้กับเชื้อโรคเหล่านี้ จะมุ่งไปที่การสกัดหรือนำโมโนโคลนอล แอนติบอดี้ หรือ แอนติเจนของสิ่งมีชีวิตมาผ่านกระบวนทางเภสัช ที่ในขั้นตอนของการผลิตจริงต้องใช้วิศวกรที่เชี่ยวชาญในกระบวนการผลิตยาชีววัตถุและวัคซีนเป็นการเฉพาะ ขณะเดียวกัน แนวคิดการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ได้ระบุความต้องการแรงงานด้านกระบวนการผลิตยาชีววัตถุและวัคซีนต่าง ๆ สำหรับอุตสาหกรรมทางการแพทย์ครบวงจร ในพื้นที่ EEC ไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 คน สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ คือ คำถามที่เราต้องหาคำตอบโดยเร่งด่วน”
ดังนั้น ในหลักสูตรที่ปรับปรุงใหม่ ปี พ.ศ. 2564 นอกจากการทำให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้นแล้ว ยังเปิดกว้างให้สามารถรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี จากด้านวิศวกรรมเคมีโดยตรง และด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ได้อีกด้วย และนอกจากการสร้างกำลังคนระดับสูง ภายใต้หลักสูตรวิศวกรรมเคมี สายวิศวกรรมชีวเภสัชภัณฑ์ แล้ว ภาควิชาวิศวกรรมเคมี ยังมีการดำเนินการภายใต้โครงการยูเชพ (U-CHEPS : Undergraduate Chemical Engineering Practice School) สาขาไบโอฟาร์มา ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาสาขาวิศวกรรมเคมี ของ มจธ. ที่สนใจในงานวิศวกรที่เกี่ยวกับการผลิตยาชีววัตถุและวัคซีน ได้มีประสบการณ์ในโรงงานจริง รวมถึงหลักสูตรใหม่ ๆ เพื่อสร้างกำลังคนสาขานี้ให้ได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
“ยูเชพ เป็นโครงการที่เน้นภาคปฏิบัติไปฝึกงานที่โรงงานผลิตยา มีทักษะ มีความรู้พื้นฐานที่สามารถไปเทรนนิ่งต่อยอดได้ เป็นที่ต้องการ สามารถป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตยาผลิตวัคซีนได้เลย นอกจากนี้ เรากำลังจะพัฒนาหลักสูตรที่สามารถใช้รับรองความรู้ด้วยตนเอง หรือ MC (Micro-Credential) ในหัวข้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมผลิตยา เพื่อผู้ที่จบปริญญาตรี หรือแม้แต่ มัธยมปลาย สายวิทย์ และสนใจจะทำงานด้านนี้ได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้ พิสูจน์และขอการรับรองความสามารถ เพื่อให้ได้ Digital Badge ที่ออกโดย มจธ. ไปแสดงความเชี่ยวชาญตอนสมัครงานได้ทันที ซึ่งนี่คือการสร้างกำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรของไทยอย่างเป็นรูปธรรม” รศ.ดร. อัศวิน กล่าวสรุป
ผู้ที่สนใจและพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมผลิตยาชีววัตถุและวัคซีนของไทยและต่างประเทศ สามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี โทร. 02-470-9221 หรือที่ https://www.facebook.com/ChemicalEngineeringKMUTT/