แพทย์จุฬาฯ วิจัยสำเร็จ ใช้เกล็ดเลือดเข้มข้นของคนไข้เอง ฉีดเข้าเอ็นข้อไหล่ ลดปวด สมานเอ็นฉีกขาด และฟื้นฟูกล้ามเนื้อที่ฉีกขาดได้ ทางเลือกใหม่แทนการผ่าตัด ลดความเสี่ยงจากผลกระทบจากการกินยาแก้ปวดต่อเนื่องเป็นเวลานาน
“การฉีดเกล็ดเลือดฟื้นฟูเอ็นข้อหัวไหล่เป็นหนึ่งในวิธีการรักษาคนไข้ที่เราทำมากว่า 5 ปีแล้ว แนวทางนี้ช่วยลดผลข้างเคียงของยากลุ่มแก้ปวดได้ และมีความปลอดภัยสูงมาก เพราะเป็นการเอาเกล็ดเลือดและพลาสมาของคนไข้เอง ออกมาแล้วฉีดกลับเข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นซ่อมแซมตัวเอง” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (พิเศษ) นายแพทย์มาร์วิน เทพโสพรรณ แพทย์ประจำคลินิกระงับปวด ฝ่ายวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เล่าถึงวิธีการบรรเทาอาการปวดด้วยเกล็ดเลือด
วิทยาการนี้เป็นงานวิจัยที่ คลินิกระงับปวด ร่วมมือกับ หน่วยการกีฬาของโรงพยาบาลจุฬาฯ เพื่อศึกษาการดูแลความปวดให้กับผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน การเล่นกีฬา การเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดท่า ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ และเอ็นฉีกขาด บางรายต้องรักษาด้วยการผ่าตัด บางรายรักษาไม่หายขาด พัฒนาไปสู่อาการปวดเรื้อรังตลอดชีวิต
“ในการศึกษานี้ เราเปรียบเทียบการรักษาโดยทำ MRI ที่หัวไหล่ของคนไข้ที่ได้รับการฉีดเกล็ดเลือดไปแล้ว 6 เดือน กับคนไข้ที่ไม่ได้ใช้วิธีการฉีดเกล็ดเลือดในการรักษาเอ็นหัวไหล่ฉีกขาด พบว่า การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเข้าไปในเอ็นข้อไหล่ ช่วยลดอาการปวดได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ภายใน 1 – 2 เดือน และยังช่วยซ่อมแซมรอยฉีกขาด ทำให้เอ็นข้อไหล่ติดกันได้ดีขึ้นด้วย ขนาดแผลที่ฉีกขาดก็ลดขนาดลง ทำให้คนไข้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดเรื้อรัง เลี่ยงการผ่าตัด ลดความเสี่ยงจากกินยาแก้ปวดต่อเนื่องเป็นเวลานาน”
การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเพื่อฟื้นฟูร่างกาย จัดอยู่กลุ่มเวชศาสตร์ทางเลือกที่เกิดขึ้นราว 10 ปีมาแล้วในต่างประเทศ ในเกล็ดเลือดมีสารต่าง ๆ ที่ร่างกายผลิตขึ้นเอง เป็นสารที่มีไว้ซ่อมแซมร่างกาย จึงมีการศึกษาการฉีดเกล็ดเลือด ทั้งเพื่อความสวยงามและเพื่อลดการปวดข้อเข่า ข้อไหล่ และอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย หลายโรงพยาบาลในประเทศไทยปรับใช้แนวทางนี้เป็นเวชศาสตร์ชะลอวัยด้วย
เนื่องจากวิธีการนี้เป็นการใช้เกล็ดเลือดของผู้ป่วย (ผู้ปวด) เอง ดังนั้น ประสิทธิผลของการรักษาจึงแตกต่างกันไป ขึ้นกับสภาพร่างกายของคนไข้ ช่วงอายุ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และคุณภาพเลือดของคนไข้แต่ละบุคคล ถ้าคนไข้เป็นคนแข็งแรง ออกกำลังกายดี เป็นนักกีฬา คุณภาพเลือดก็จะดี ผลการซ่อมแซมร่างกายก็จะดีไปด้วย ผลการศึกษาการฉีดเกล็ดเลือดของต่างประเทศ ระบุว่า ประสิทธิผลการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นซ่อมแซมร่างกายจะได้ผลดีมากกับคนไข้ที่อายุน้อยกว่า 55 ปี
เนื่องจากวิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก เพราะใช้เลือดของคนไข้เองในการรักษาตนเอง จึงไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการใช้ยารับงับปวดทั่วไป หลายครั้งจึงมีคนไข้ที่อายุมากกว่า 60 ปี มาขอรับการรักษาด้วยวิธีนี้ ซึ่งหมอก็ทำให้ได้ แต่ก็จะแจ้งคนไข้ด้วยว่า ประสิทธิผลอาจไม่ดีไม่เท่ากับคนที่อายุน้อยกว่า 55 ปี
“การักษาทำโดยการดูดเลือดดำมาประมาณ 15 มิลลิลิตร แล้วนำไปปั่นแยกพลาสมาและเลือดแดง จากนั้นจะนำพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้นไปฉีดให้คนไข้ทันที ค่าใช้จ่ายในการรักษาจะอยู่ที่ประมาณ 9,000 บาทต่อครั้ง (การทำหัตถการ)”
การรักษาอาการปวดด้วยการฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้น ไม่เหมาะกับคนไข้ทุกคน โดยเฉพาะไข้ 2 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ที่เป็นมะเร็ง เนื่องจากเลือดของผู้ป่วยมะเร็งอาจมีเชื้อมะเร็ง ซึ่งหากนำเลือดของคนไข้มาปั่นแล้วฉีดกลับเข้าไปในร่างกายคนไข้แล้ว ก็อาจทำให้เกิดการกระจายของเชื้อมะเร็งไปที่อวัยวะอื่น ๆ ได้ และผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดยาก การทำให้เกิดแผลจากเข็มฉีดยาอาจจะทำให้เลือดไหลมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อคนไข้ได้
นายแพทย์มาร์วิน เล่าถึงอนาคตของงานวิจัยระงับปวดด้วยเลือดของผู้ปวด ว่า ต่อไปจะมีการขยายการวิจัยไปที่อวัยวะอื่นด้วย เช่น การศึกษาการฉีดเกล็ดเลือดระงับปวดบริเวณข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ ซึ่งตอนนี้คืบหน้าไป 50% แล้ว และยังต้องการหาคนไข้มาเข้าร่วมโครงการวิจัยอีก ขอเชิญชวนให้ผู้มีอาการปวดกลางหลังให้มาร่วมโครงการวิจัยการฉีดเกล็ดเลือดระงับปวดบริเวณข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบ โดยสามารถติดต่อขอทำนัดที่คลินิกระงับปวด รพ.จุฬาฯ เพื่อให้หมอตรวจวินิจฉัยว่าเป็นอาการของโรคข้อต่อกระดูกสันหลังอักเสบหรือไม่ และหากเข้าเกณฑ์ คนไข้สามารถเลือกเข้าร่วมโครงการวิจัยได้ตามความสมัครใจเพื่อรับการรักษาโดยไม่มีค่าใช่จ่าย
ผู้สนใจที่มีอาการปวดข้อต่อเอ็นหัวไหล่ หรือ ปวดอวัยวะอื่น ๆ ในร่างกาย สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยเพื่อการรักษาที่ถูกทางได้ที่ คลินิกระงับปวด Pain Clinic https://painchula.com/ ชั้นที่ 17 อาคาร ภปร. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 8.00 – 16.00 น. โดยนัดหมายล่วงหน้าหรือสอบถามได้ที่ โทร. 02-256-5230
นอกจากนี้ คลินิกระงับปวด จุฬาฯ ยังมีโครงการวิจัยทางการแพทย์อีก 2 โครงการ เกี่ยวกับการระงับปวด เพื่อพัฒนาทางเลือกในการบรรเทาและระงับปวดแก่คนไข้ให้ดียิ่งขึ้น และกำลังเปิดรับคนไข้อาสาสมัครมาเข้าร่วมโครงการ ซึ่งต้องการคนไข้ที่มีอาการเจ็บปวดทางร่างกาย ดังนี้
คนไข้หมอนรองกระดูกปลิ้น คนไข้หมอนรองกระดูกปลิ้น มี 2 อาการเด่น คือ ปวดหลัง และ ปวดหลังร้าวลงขา ซึ่งวิธีการรักษาเดิม คือ การกินยาแก้ปวด ซึ่งเมื่อกินไปนาน ๆ แล้ว ไม่ดีขึ้น คนไข้ก็ต้องผ่าตัด แต่ปัจจุบัน มีเทคโนโลยีการแพทย์ใหม่ คือ การจี้หมอนรองกระดูกปลิ้นด้วยคลื่นวิทยุไฟฟ้า โดยใส่เข็มเข้าไปในหมอนรองกระดูก แล้วกระตุ้นเข็มให้เกิดความร้อนขึ้น เพื่อทำให้หมอนรองกรระดูกที่ปลิ้นหดลง ส่งผลให้อาการปวดเบาลงด้วย
คนไข้ปวดใบหน้า และปวดฟันเรื้อรัง คนไข้ส่วนใหญ่มักปวดใบหน้าและฟันตลอดเวลา กินข้าวไม่ได้ น้ำหนักลด ยิ่งเคี้ยวก็จะรู้สึกปวดไปทั้งหน้า คนไข้กลุ่มนี้โดยมากจะรักษากับหมอฟัน หรือ หมออายุรกรรมประสาท ซึ่งจะได้รับการรักษาด้วยการถอนฟัน แต่ก็ไม่ทำให้อาการปวดหายไป เนื่องจากอาการปวดไม่ได้มาจากฟัน ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยทางการแพทย์ พบว่า กลุ่มประสาท 2 กลุ่มที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ เป็นกลุ่มประสาทที่ส่งผลต่อความเจ็บปวดของใบหน้า หากฉีดสาร “โบทุลินัม” หรือ ที่รู้จักในชื่อการค้า “โบท็อก” (แบบเดียวกับที่ใช้เสริมความงาม) เข้าไปที่บริเวณกลุ่มประสาทบนใบหน้าก็จะสามารถลดปวดได้ค่อนข้างดี คนไข้ที่ปวดใบหน้าและปวดฟันเรื้อรังเหล่านี้ สามารถรักษาหายได้โดยไม่ต้องกินยา ตอนนี้ การวิจัยสำเร็จมาครึ่งทางแล้ว เราพบว่าคนไข้ประมาณ 80% อาการปวดหายเข้าใกล้ 100% กินยาแก้ปวดลดลง บางคนสามารถกลับมามีชีวิตปกติได้ กินข้าวได้