คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดี พร้อมด้วย รศ. ดร.ธนภัทร์ วานิชานนท์ และ รศ. ดร.นรเศรษฐ์ ณ สงขลา แสดงความยินดีกับ ทีมนักวิจัยไทย ดร.กลกรณ์ วงศ์ภาติกะเสรี ผศ.ดร.นริศ หนูหอม และ ดร.สุเมธ ยืนยง ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ นางสาวพณิดา โยมะบุตร นักจิตวิทยาคลินิก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เจ้าของผลงาน นวัตกรรม “แพลตฟอร์มกลางสำหรับการสร้างเครื่องมือบำบัดทางจิตวิทยาด้วยปัญญาประดิษฐ์” (AI Phychological Open Platform) ที่สามารถคว้ารางวัลเหรียญทอง จากเวทีนักประดิษฐ์นานาชาติเจนีวา ประจำปี 2566 (International Exhibition of Inventors Geneva 2023) สมาพันธรัฐสวิส มาครองได้สำเร็จ
ดร.กลกรณ์ วงศ์ภาติกะเสรี หัวหน้าทีมวิจัย และ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ขณะที่สังคมและเศรษฐกิจมีความซับซ้อนอ่อนไหวและผันผวน ปัญหาสุขภาพจิตมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น และส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และคุณภาพชีวิตของผู้ประสบปัญหาและคนใกล้ตัว หลายหน่วยงานที่ให้บริการดูแลสุขภาพจิต ทั้งภาครัฐ เอกชน และหน่วยงานอิสระ ต่างก็ช่วยเหลือให้คำแนะนำปรึกษาแก่ประชาชน แต่ยังมีข้อจำกัด เช่น จำนวนบุคคลากรไม่เพียงพอ ค่าใช้จ่ายสูง ขาดเทคโนโลยีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของบริการ ดังนั้น ทีมวิจัยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้ริเริ่มพัฒนา “แพลตฟอร์มกลางสำหรับการสร้างเครื่องมือบำบัดทางจิตวิทยาด้วยปัญญาประดิษฐ์” (AI Psychological Intervention Open Platform) เพื่อช่วยให้บริการสุขภาพจิตของหน่วยงานต่าง ๆ สามารถมีเครื่องมือและเทคโนโลยีในการพัฒนาบริการดูแลสุขภาพจิตให้ก้าวหน้าทันสมัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นับเป็นงานวิจัยนวัตกรรมที่สร้างความเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัลเฮลแคร์ และเสริมสร้างความก้าวหน้าของวงการสุขภาพจิตในประเทศไทย โดยได้รับทุนวิจัยสนับสนุน จาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ปัจจุบันมีหน่วยงานสุขภาพจิตจำนวนกว่า 30 องค์กร ที่ได้ร่วมโครงการอบรม และใช้ประโยชน์ในการพัฒนาบริการดูแลสุขภาพจิต
ประโยชน์ของแพลตฟอร์มนี้ ช่วยยกระดับงานบริการดูแลสุขภาพจิตของไทยให้ก้าวหน้า ช่วยให้บุคลากรของหน่วยงานดูแลสุขภาพจิตในประเทศไทยสามารถสร้าง “หุ่นยนต์โต้ตอบ (Chatbot)” แบบอัตโนมัติ ได้ง่าย สามารถออกแบบพัฒนาแชทบอทปัญญาประดิษฐ์ด้านสุขภาพจิตได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อตอบโจทย์ประชาชนผู้รับบริการ ตรงวัตถุประสงค์ และเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของหน่วยงาน เป็น Open Platform ที่หน่วยงานหนึ่งสามารถแชร์แบบให้แก่หน่วยงานอื่นนำไปปรับใช้ประโยชน์ต่อไปได้ นอกจากนี้ ยังมี “ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” ที่ช่วยประเมินวิเคราะห์อารมณ์ หรือ ปัญหาทางสุขภาพจิต ผลงานนวัตกรรมนี้นับเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชุมชนและประชาชนคนไทยทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงการบริการ และได้รับการดูแลด้านสุขภาพจิตอย่างทั่วถึงมากขึ้น ได้ทุกที่ ทุกเวลา สะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลา และค่าใช้จ่าย ในอนาคตยังเป็นฐานข้อมูล Big Data ด้านสุขภาพจิตของไทย ที่สามารถนำมาวิเคราะห์ วางแผน หรือ กำหนดแนวทางและนโยบายการพัฒนาสุขภาพจิตต่อไปได้อีกด้วย