บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) มจธ. สร้างบัญชีฐานข้อมูลแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ชี้ การจราจรและการเผาในที่โล่ง ต้นเรื่องปัญหาฝุ่นของประเทศ แนะ ปรับมาตรฐานน้ำมันเชื้อเพลิง หนุนใช้รถ EV ช่วยลดฝุ่นได้

แชร์บทความ

Share on facebook
Share on twitter

ปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ คือ เรื่องของมลภาวะทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ในปี 2566 มีปัญหาความเข้มข้นของฝุ่นละอองขนาดเล็กสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ดังนั้น เพื่อบรรเทาปัญหาฝุ่น PM 2.5 ให้ลดลง การมีฐานข้อมูลบัญชีการระบายมลพิษ เพื่อค้นหาต้นกำเนิดที่แท้จริงของฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนนโยบายเพื่อหาแนวทางในการแก้ไข หรือ บรรเทาปัญหามลภาวะทางอากาศของประเทศไทย

รองศาสตราจารย์ ดร.สาวิตรี การีเวทย์ และคณะ จาก บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) จึงได้ดำเนินโครงการ “การจัดทำแนวทางการจัดการฝุ่น PM 2.5 โดยการวิจัยการเกิดอนุภาคทุติยภูมิ จากการใช้ระบบแบบจำลองการจัดการคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานครและภาคกลาง” ขึ้น เพื่อศึกษาแหล่งกำเนิดและกลไกของการเกิด PM 2.5 ทุติยภูมิ (Secondary Aerosol Precursors) รวมถึงจัดทำแนวทางและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการจัดการคุณภาพอากาศที่สามารถแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศจาก PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้ลดลงได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณวิจัย จาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)

รองศาสตราจารย์ ดร.สาวิตรี กล่าวว่า ในช่วง 4-5 ปี ที่ผ่านมา ประเทศไทยโดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐานมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อสุขภาพของคนในพื้นที่ เป็นสาเหตุให้มีผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ โรคมะเร็งปอด และ โรคปอดเฉียบพลันในเด็กเล็ก เพิ่มสูงขึ้น การใช้ “ข้อมูลบัญชีการระบายมลพิษ” จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้

“แต่เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 มีทั้งที่เกิดจากการปล่อยโดยตรงจากแหล่งกำเนิด เช่น การเผาในที่โล่ง ฝุ่นละอองจากรถยนต์ ที่เป็น “ฝุ่นแบบปฐมภูมิ” ยังมี PM 2.5 “แบบทุติยภูมิ” ที่เป็นการรวมตัวกันของสารตั้งต้น (Precursors) เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แอมโมเนีย และ NMVOC กับสารอื่น ๆ ผ่านปฏิกิริยาเคมีในอากาศอีกด้วย ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องมีทั้งบัญชีการระบายทั้งของฝุ่น PM 2.5 ปฐมภูมิ และของสารตั้งต้นที่ก่อให้เกิด PM2.5 ทุติยภูมิ เพื่อนำเข้าระบบแบบจำลองการจัดการคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจในการแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศจาก PM 2.5 ของประเทศ ทั้งในระยะกลางและระยะยาวต่อไป

แม้การทำโครงการวิจัยจะจำกัดอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่การทำงานจริงจำเป็นต้องเก็บข้อมูลจากพื้นที่อื่นทั่วประเทศ เพราะอากาศไม่มีอาณาเขต การเกิดมลภาวะทางอากาศของพื้นที่อื่น ๆ ส่งผลต่อมลภาวะทางอากาศของภาคกลาง กรุงเทพมหานคร และปริมณฑลด้วย จากการวิจัย พบว่า สัดส่วนระหว่าง PM 2.5 ปฐมภูมิ และ PM 2.5 ทุติยภูมิ อยู่ที่ 70:30 โดยในประเทศไทยแหล่งกำเนิด PM 2.5 มาจากการเผาชีวมวลในที่โล่งในพื้นที่การเกษตร เป็นอันดับ 1 รองลงมา เป็นการเผาฟืน/ถ่านไม้เพื่อหุงต้มในภาคครัวเรือน โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนขนาดเล็ก การผลิตซีเมนต์ และการจราจร ตามลำดับ

ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล แหล่งกำเนิด PM 2.5 ปฐมภูมิ มาจากการจราจรเป็นส่วนใหญ่ ทั้งจากรถบรรทุกขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ รถเมล์ รถยนต์ส่วนบุคคล การเผาไหม้ในอุตสาหกรรมจากจังหวัดโดยรอบ เช่น จังหวัดนครปฐม และสมุทรสาคร ขณะที่ ฝุ่น PM 2.5 ปฐมภูมิ ที่เกิดจากพื้นที่ภาคกลาง จะมีต้นกำเนิดจากการเผาในที่โล่งในพื้นที่การเกษตร และการผลิตซีเมนต์ แต่จะสังเกตได้ว่า ในช่วงที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภาคกลาง ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางอากาศสูงที่สุดในรอบปี จะเป็นช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นผลมาจากทั้งการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่มวลอากาศมีการเคลื่อนตัวด้วยความเร็วต่ำ รวมถึงเป็นช่วงที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เข้าสู่ช่วงเตรียมพื้นที่เพื่อการทำเกษตรรอบใหม่ จึงมีการเผาในที่โล่งในจำนวนมากขึ้น รวมถึงการเกิดไฟป่าในหลายพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณมลพิษในอากาศสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล”

รองศาสตราจารย์ ดร.สาวิตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หากมองเฉพาะกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ปริมณฑล จะเห็นว่า สาเหตุหลักของ PM 2.5 ปฐมภูมิ จะมาจากภาคการจราจร และภาคการขนส่ง ซึ่งโดยส่วนใหญ่รถมีอายุการใช้งานนาน ส่งผลต่อการปล่อยไอเสียในปริมาณมาก หากประเทศไทยสามารถดำเนินการตามนโยบายที่รัฐบาลตั้งไว้ คือ การใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ที่จะเริ่มต้น ในวันที่ 1 มกราคม 2567 จะสามารถช่วยลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ปฐมภูมิ ได้กว่า 10% ภายในปี 2573 และเมื่อรวมปัจจัยของการใช้รถ EV ที่มีปริมาณมากขึ้นทุกปี ก็จะช่วยลดปริมาณมลพิษทางอากาศได้เพิ่มขึ้นในอนาคต ในส่วนของการเผาในที่โล่ง พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้รับผลกระทบจากพื้นที่ใกล้เคียง จึงต้องมีมาตรการควบคุมการเผาเศษวัสดุชีวมวล โดยเฉพาะในจังหวัดกาญจนบุรี ลพบุรี ราชบุรี และสุพรรณบุรี ซึ่งมีอัตราการเผาในที่โล่งในพื้นที่นาข้าวและไร่อ้อยในปริมาณสูง ทั้งนี้ ข้อมูลจากงานวิจัยได้ส่งต่อให้กับ กรมควบคุมมลพิษ และจังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบนโยบาย และมาตรการในการแก้ไขปัญหามลพิษ PM 2.5 ในพื้นที่ได้อย่างถูกต้อง และแม่นยำ สามารถแก้ไขปัญหาได้ถึงจุดกำเนิดของฝุ่น PM 2.5

จากงานวิจัย พบว่า ต้นกำเนิดฝุ่นอยู่ในหลายพื้นที่ของประเทศ ข้อมูลของงานวิจัยนี้จะช่วยพัฒนาบุคลากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละพื้นที่ ให้สามารถนำข้อมูลไปออกแบบหาวิธีการแก้ปัญหาถึงจุดกำเนิดของฝุ่น PM 2.5 ได้โดยตรง โดยไม่ต้องรอคำสั่งจาก กรมควบคุมมลพิษ เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา เพราะงานวิจัยทำให้รู้ถึงแหล่งกำเนิดของฝุ่น PM 2.5 ได้อย่างชัดเจน ปัญหาฝุ่นไม่ใช่ปัญหาของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ทุกคนต้องร่วมมือกัน เพื่อลดปริมาณฝุ่น PM 2.5 ให้ลดลง เกิดความยั่งยืนในการแก้ปัญหาในอนาคต

RANDOM

NEWS

สสส. ร่วมกับ สคล. เชิญชวนโรงเรียนประถมศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม “มารู้จักเจ้าชายภูมิพลกันเถอะ” ดาวน์โหลดรายละเอียดกิจกรรมได้ที่เว็บไซต์ ‘โรงเรียนคำพ่อสอน.com’ พร้อมรับเกียรติบัตรจากทางโครงการฯ สมัครเข้าร่วมกิจกรรมได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกวดเขียนเรียงความภาษาอังกฤษ หัวข้อ “ASEAN-IPR Cybersecurity Youth Essay Competition” ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้เข้าร่วมการประชุม ASEAN-IPR Regional Conference on Cybersecurity และมีโอกาสนำเสนอเรียงความในที่ประชุมดังกล่าว สมัครด่วน หมดเขต 22 พ.ย. นี้

You cannot copy content of this page

error: Content is protected !!