การปลดล็อกพืชกระท่อม เปิดโอกาสให้นักวิจัยได้ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ที่ใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรตัวนี้มาแต่โบราณ อ.เภสัชฯ จุฬาฯ เผย ปัจจุบันมีการวิจัยใช้สารในใบกระท่อมทำยาแก้ปวด ลดการอักเสบ และอาจใช้ในการถอนยาเสพติดร้ายแรงอื่น ๆ แทนยาเคมีได้
“ใบกระท่อม” พืชสมุนไพรท้องถิ่นกลับมาเป็นที่รู้จักในสังคมไทยอีกครั้ง หลังจากถูกควบคุมและขึ้นบัญชีเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 มานานกว่าครึ่งศตวรรษ เวลานี้ ตามริมถนน บนฟุทบาท ตลาดสด เราจะเห็นรถเร่ แผงลอย วางจำหน่ายใบกระท่อมเขียวสดกันอย่างเปิดเผย พ่อค้าแม่ขายบางรายก็ทำน้ำต้มใบกระท่อมแบบพร้อมดื่ม บ้างก็ขายกล้าพืชกระท่อม เพื่อให้ผู้สนใจนำไปปลูกที่บ้าน หรือ ในแปลงเกษตร
ใบกระท่อมได้รับความนิยมสูงในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ที่ใช้ใบสดเป็นของเคี้ยวชูกำลัง บางคนก็ใช้ใบกระท่อม โดยอ้างสรรพคุณทางยา เพื่อลดน้ำตาลในเลือด แต่หลายคนก็ยังกังขา “ใช้กระท่อมแล้วจะติดไหม มีอาการอย่างไร” “หากมีสรรพคุณทางยา มีประโยชน์อย่างไร แล้วจะใช้อย่างไร มีโทษไหม”
รองศาสตราจารย์ เภสัชกร ดร.ธงชัย สุขเศวต อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัชวิทยาและสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ทำวิจัยเรื่อง “กระท่อม” เปิดเผยว่า กระท่อมเป็นยาที่คนในสมัยโบราณใช้กันมานานมาก เรียกได้ว่าเป็นยาสามัญที่มีอยู่แทบทุกบ้านเลยก็ว่าได้ ใช้ต้อนรับแขกผู้มาเยือน ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการเข้าสังคมในงานสำคัญต่าง ๆ และใช้เป็นยาชูกำลังในการทำงานที่ต้องใช้แรง
อาจารย์ธงชัย กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา การศึกษาวิจัยพืชกระท่อมทางการแพทย์และเภสัชกรรมทำได้ยาก จนเมื่อมีการปลดล็อกพืชกระท่อม จึงเปิดโอกาสให้เกิดการศึกษาวิจัยทางการแพทย์และยาอย่างมากมาย เช่นที่ อาจารย์ธงชัย ศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพื่อทำสารสกัดยาสมุนไพรมาตรฐาน เป็นยาแก้ปวดที่มาจากธรรมชาติ รวมถึงเป็นยาช่วยเลิกสารเสพติดประเภทยาบ้า และยามอร์ฟีน
“พืชกระท่อม มีศักยภาพที่จะพัฒนามาใช้เป็นยา ทั้งทางการแพทย์แผนไทยและแผนปัจจุบัน จึงควรมีการส่งเสริมการศึกษาวิจัยเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป”
พืชกระท่อม จากยาสามัญประจำถิ่นสู่ยาเสพติด
กระท่อม เป็นพืชพื้นถิ่นที่พบกระจายทั่วประเทศไทย พบหนาแน่นในพื้นที่ภาคใต้ ภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น ด้วยความที่เป็นพืชพื้นถิ่นเช่นนี้ คนไทยนับตั้งแต่อดีตจึงรู้จักและสั่งสมภูมิปัญญาในการใช้ประโยชน์จากพืชชนิดนี้ ทั้งในแง่การรักษาโรค ลด-คลายอาการปวดเมื่อย เพิ่มกำลังในการทำงาน เป็นต้น
จนเมื่อปี 2486 เริ่มมีการออกกฎหมายควบคุมพืชกระท่อม ภายใต้พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2486 อาจารย์ธงชัย เล่าถึงมูลเหตุที่นำไปสู่การควบคุมพืชกระท่อมในเวลานั้นว่า “รัฐผูกขาดภาษีฝิ่น เมื่อฝิ่นราคาแพง ผู้คนก็หันมาสูบใบกระท่อมแทน ทำให้รัฐเสียรายได้จากภาษีฝิ่น จึงออกกฎหมายเพื่อควบคุมการปลูกและการใช้พืชกระท่อม”
มาในปี 2522 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ขึ้นบัญชีพืชพื้นถิ่นหลายชนิด เช่น กระท่อม กัญชา เห็ดขี้ควาย และฝิ่น ให้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 โดยรัฐให้เหตุผลว่า พืชกระท่อมอาจทำให้เกิดการเสพติด และเกิดอาการถอนยาได้ เมื่อหยุดเสพ ตั้งแต่นั้นมา ใบกระท่อม ก็หายไปจากพื้นที่ชีวิตของผู้คน การศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ หรือ การศึกษาวิจัยในมนุษย์ก็ไม่สามารถทำได้
จนเมื่อ ปี 2562 เริ่มมีการทบทวน แก้ไข และออกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฉบับที่ 7 พ.ศ. 2562 ปลดล็อกพืชกระท่อมและกัญชา ให้สามารถใช้ในการศึกษาวิจัยในมนุษย์ หรือ นำมาใช้ทางการแพทย์ได้ ต่อมา พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2564 ก็ได้ให้พืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 โดยสมบูรณ์ และล่าสุด พระราชบัญญัติพืชกระท่อม พ.ศ. 2565 เปิดเสรีให้ปลูก ครอบครอง และขายพืชกระท่อมได้ ทั้งนี้ การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหาร ยา สมุนไพร เครื่องสำอาง ให้ขออนุญาตตามกฎหมายเฉพาะของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ส่วนการนำเข้าและส่งออกใบกระท่อม ต้องได้รับอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) เสียก่อน
นำใบกระท่อมสด ร่วมกับ หมาก พลู น้ำชา กาแฟ ยาเส้น มาใช้ต้อนรับแขกผู้มาเยือนบ้าน
กระท่อม ในวิถีภูมิปัญญาและวัฒนธรรมท้องถิ่น
ในอดีต พืชกระท่อม มีบทบาทในวิถีชีวิตผู้คน ทั้งในมิติสังคม วัฒนธรรม และการแพทย์ ดังนี้
กระท่อม ในพื้นที่ทางสังคม งานประเพณี วัฒนธรรม งานบวช งานแต่งงาน งานศพ จะมีการใช้ใบกระท่อมสด ร่วมกับ หมาก พลู น้ำชา ยาเส้น เพื่อเป็นการต้อนรับแขกผู้มาเยือนบ้าน หรือ เคี้ยวใบกระท่อมสด ร่วมกับ น้ำชา กาแฟ ในร้านน้ำชา ร้านกาแฟ เพื่อเป็นการสังสรรค์และเข้าสังคม
นอกจากนี้ ในงานของกลุ่มคนที่เล่นวัวชน ไก่ชน หรือ กลุ่มนักแสดงพื้นบ้านในภาคใต้ เช่น หนังตะลุง ก็นิยมเคี้ยวใบกระท่อมเพื่อไม่ให้ง่วงนอน และเกิดอารมณ์ร่วมในการบรรเลงเพลง และการแสดงต่าง ๆ
กระท่อม ในฐานะยาชูกำลัง กลุ่มผู้ใช้แรงงาน อาทิ เกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนยาง ชาวประมง กรรมกร คนขับรถขนส่ง รถโดยสาร นิยมเคี้ยวใบกระท่อมสด ก่อนจะออกไปทำงาน โดยเชื่อว่าจะทำให้มีกำลังและความอดทนต่อการทำงานยิ่งขึ้น
กระท่อม เป็นยา ในทางการแพทย์พื้นบ้าน หมอพื้นบ้านนิยมใช้กระท่อมทำยาสมุนไพร ทั้งในรูปยาเดี่ยว หรือ เป็นตำรับยาพื้นบ้าน เพื่อรักษาโรคและอาการต่าง ๆ อาทิ ไข้หวัด ท้องเสีย บิด ปวดเมื่อย แก้ไอ ลดความดันโลหิต รักษาโรคเบาหวาน โรคกระเพาะอาหาร เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ช่วยให้นอนหลับง่าย และใช้ทดแทนหรือบำบัดอาการถอนยาจากการเสพติด เช่น ฝิ่น และ เฮโรอีน
ในส่วนของแพทย์แผนไทย พบตำรับยาแผนไทย ที่มีพืชกระท่อมเป็นส่วนประกอบในคัมภีร์แพทย์แผนโบราณของ ขุนโสภิตบรรณลักษณ์ เล่ม 1-3 ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ตำราเวชศึกษาของ พระยาพิศณุประสาทเวช และจารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร ซึ่งได้แก่ ตำรับยาประสะใบกระท่อม ยาหนุมานจองถนนปิดมหาสมุทร ยาแก้บิดลงเป็นเลือด ยาแก้บิดหัวลูก ยาประสะกานแดง เป็นต้น โดยมีสรรพคุณสำคัญ ในการรักษาโรคบิด ท้องร่วง ท้องเสีย แก้ปวดมวนท้อง ปวดเบ่ง ท้องเฟ้อ ปวดเมื่อยตามร่างกาย เป็นต้น
จารึกตำรายาวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร
“ไมทราไจนีน” สารแก้ปวด และลดอักเสบในใบกระท่อม
ใบของพืชกระท่อม เป็นส่วนที่มักใช้เป็นยาสมุนไพร ทั้งในรูปยาเดี่ยว หรือ เป็นตำรับยาพื้นบ้าน เพื่อรักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งสรรพคุณทางยา มาจาก “สารไมทราไจนีน” ซึ่งสารตัวนี้พบแค่ในพืชกระท่อมเท่านั้น ไม่พบที่ต้นไม้ชนิดอื่น แม้จะอยู่ในตระกูลเดียวกัน
ในการศึกษาวิจัย พบว่า สารไมทราไจนีน มีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ และแก้ปวดในระดับปานกลางถึงค่อนข้างรุนแรงได้ เราจึงนำกระท่อมมาเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาแก้ปวด ที่มีสรรพคุณทางยา เทียบเท่ากับ “ทรามาดอล” ที่เป็นเคมี อาจด้วยฤทธิ์คลายปวด และลดการอักเสบ ของ ไมทราไจนีน ในใบกระท่อม จึงทำให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานนิยมใช้พืชกระท่อม เป็นเสมือนยาชูกำลัง คลายปวด ลดเมื่อย
“คนกลุ่มนี้นิยมเคี้ยวใบกระท่อมสด ก่อนออกไปทำงาน โดยเชื่อว่า จะทำให้รู้สึกแข็งแรง กระปรี้กระเปร่า ทำงานได้นาน ไม่เหนื่อยล้า ไม่ปวดเมื่อย ไม่ง่วงนอน ทนต่อความร้อน สามารถทำงานกลางแดดได้นานยิ่งขึ้น”
อาจารย์ธงชัย กล่าวเสริมว่า จากผลการศึกษาการใช้ใบกระท่อมเป็นประจำในภาคใต้ของไทย ยังไม่พบการเพิ่มขึ้นของปัญหาสุขภาพอย่างชัดเจน
กระท่อม ศักยภาพเป็นยารักษาอีกหลายโรค
นอกจากฤทธิ์ในการลดปวด แก้อาการอักเสบแล้ว อาจารย์ธงชัย กล่าวถึงการศึกษาวิจัยที่พบว่า พืชกระท่อม อาจมีฤทธิ์ในการรักษาโรคอื่น ๆ ด้วย ได้แก่ ลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด ลดอาการท้องเสีย ลดความอยากอาหาร มีฤทธิ์ต้านปรสิตและเชื้อจุลชีพ ฤทธิ์ต้านอาการวิตกกังวล อาการซึมเศร้า และ โรคจิต
กระท่อม บำบัดและถอนยาเสพติดร้ายแรง
หนึ่งในศักยภาพสำคัญของกระท่อม คือ ใช้ทดแทน หรือ บำบัดอาการถอนยาจากการเสพติด เช่น แอลกอฮอล์ ฝิ่น เฮโรอีน หรือยาเสพติดชนิดอื่น ๆ
“พืชกระท่อมมีฤทธิ์แก้ปวดคล้ายมอร์ฟีน แต่อันตรายน้อยกว่า โอกาสติดน้อยกว่า ดังนั้น คนในบางประเทศจึงมีการนำกระท่อมมาใช้เป็นยาสำหรับการถอนยาเสพติดชนิดแรง ๆ ตัวอื่น ๆ แทนการใช้ยาถอนยาเสพติดที่ทำมาจากเคมีในปัจจุบัน”
ด้วยความที่ใบกระท่อมมีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีน หลายคนกังวลว่า จะมีการใช้พืชกระท่อมเป็นสารตั้งต้น เพื่อผลิตยา
“เรื่องนี้เป็นไปได้ยาก ด้วยตัวกระท่อมเอง ไม่สามารถนำมาเป็นสารตั้งต้นการผลิตยาเสพติดได้ และการจะนำสารสำคัญในใบกระท่อม ไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดตัวอื่น ก็ไม่ง่ายเช่นกัน การสกัดเอา ไมทราไจนีน ออกมาให้บริสุทธิ์นั้น ไม่ง่าย มีขั้นตอนที่ซับซ้อนพอสมควร อีกประการต้นทุนในการผลิตก็สูง” อาจารย์ธงชัย กล่าว
ผลิตภัณฑ์จากพืชกระท่อม
แม้พืชกระท่อม จะไม่ใช่ยาเสพติดในทางกฎหมาย แต่การนำพืชกระท่อมไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ต้องศึกษาให้ดี เพราะการทำผลิตภัณฑ์จากกระท่อมบางอย่าง อาจเข้าข่ายการผลิตยาเสพติด
“ถ้าทำน้ำกระท่อม ชากระท่อมในครัวเรือนของตนเอง ไม่มีการซื้อขาย ก็สามารถทำและใช้ได้เลย ไม่ต้องขออนุญาต แต่ถ้าจะแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ยา อาหาร อาหารเสริม เครื่องสำอาง เพื่อขาย จำเป็นต้องขออนุญาตจาก คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดังนั้น ใครที่คิดจะทำธุรกิจเกี่ยวกับพืชกระท่อม ขอให้ปรึกษา อย. หรือ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ก่อนดำเนินการทำผลิตภัณฑ์นั้น ๆ”
ข้อควรระวังในการใช้พืชกระท่อม
แม้พืชกระท่อม จะมีสรรพคุณทางยา มีประโยชน์ โทษน้อย แต่ อาจารย์ธงชัย แนะนำว่า ให้ใช้เฉพาะที่จำเป็น จะดีที่สุด
สำหรับผู้ใหญ่ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรใช้ ให้ใช้วิธีดูแลสุขภาพทั่วไป เช่น ทานอาหารให้ครบถ้วนถูกต้อง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ และไม่เครียด หรือ ลดความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม แต่ถ้ามีความต้องการ หรือ มีความจำเป็นต้องใช้ใบกระท่อม หรือ ผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อม ก็ควรใช้อย่างถูกต้อง ปรึกษาผู้รู้ และระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ข้อควรระวังในการใช้ใบกระท่อม มีดังนี้
ห้ามเด็กใช้ เพราะมีความเสี่ยงที่เด็กจะเกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ได้ง่ายกว่า เช่น ลมชัก อาการทางจิตและประสาท และเมื่อเริ่มใช้แล้ว อาจนำไปสู่การใช้ยาเสพติดให้โทษที่รุนแรงมากขึ้นได้
ผู้ที่ตั้งครรภ์ ห้ามใช้โดยเด็ดขาด เพราะอาจเกิดความเสี่ยงที่เด็กในครรภ์ เมื่อคลอดออกมาแล้ว เด็กอาจมีอาการติดยาได้
ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต ห้ามใช้
อย่าใช้ในปริมาณที่มากเกินไป ให้ใช้ตามที่กำหนดไว้ในผลิตภัณฑ์ใบกระท่อมแต่ละชนิด
ถ้าพบว่าเมื่อใช้แล้ว มีอาการข้างเคียง เช่น ใจสั่น กระวนกระวาย คลื่นไส้ อาเจียน ก็ให้หยุดใช้ และอย่าใช้อีก เพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
ถ้ามีการใช้ยารักษาโรคเป็นประจำ และอยากใช้ใบกระท่อม หรือ ผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อม ให้ปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร หรือ ถ้าใช้ใบกระท่อมอยู่เป็นประจำ เมื่อไม่สบาย ต้องไปพบแพทย์และเภสัชกร ให้แจ้งด้วยว่า มีการใช้ใบกระท่อม หรือ ผลิตภัณฑ์จากใบกระท่อมอยู่ เพื่อหลีกเลี่ยงการตีกันของยา และเกิดพิษจากยาขึ้นได้
อาจารย์ธงชัย กล่าวเพิ่มเติม ถึงข้อห้ามในการใช้ใบกระท่อม ร่วมกับ ยาแผนปัจจุบัน หรือ ยาอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
ผู้ที่ใช้กัญชา (ยา) ห้ามใช้กระท่อมควบคู่กัน เพราะกระท่อมจะทำให้ฤทธิ์ของกัญชาแรงขึ้น
สำหรับคนเป็นเบาหวานให้ระวัง จากการวิจัย พบว่า กระท่อมมีสารที่ไปช่วยการลดน้ำตาลในกระแสเลือด ถ้าใช้ควบคู่กับผู้ที่ต้องทานยาเบาหวาน หรือ ที่ต้องฉีดอินซูลินใต้ผิวหนังเป็นประจำ อาจจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (ไฮโปไกลซีเมีย) ได้
กระท่อมมีประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษเช่นกัน หากใช้ในทางที่ผิด และปราศจากการควบคุมที่เหมาะสม มีผู้เอาใบกระท่อมไปเสพเพื่อสันทนาการ โดยผสมกับสารอื่น ๆ ที่เป็นอันตรายมากขึ้น เช่น ยาน้ำแก้ไอ ยากันยุง น้ำอัดลม ผงในหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ เป็นต้น เป็นสูตรที่เรียกว่า 4X100 เพื่อให้มีฤทธิ์มึนเมารุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้เสพมาก
“การใช้พืชกระท่อม หรือ กัญชา ควรเป็นไปเพื่อประโยชน์เฉพาะด้านการแพทย์เท่านั้น ไม่ควรใช้เพื่อการสันทนาการ และจำเป็นต้องมีการควบคุม ไม่ให้เกิดการใช้ไปในทางที่ผิด” อาจารย์ธงชัย กล่าวทิ้งท้าย