นายอับดุลฆอนี เจะโซะ อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยฟาฏอนี ในฐานะหัวหน้าโครงการศึกษาวิจัยการขับเคลื่อนแพลตฟอร์มการเรียนรู้โดยใช้มัสยิดเป็นฐานในสังคมพหุวัฒนธรรมจังหวัดปัตตานี เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนจาก หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในการทำงานวิจัยชิ้นนี้ โดยมุ่งเน้นที่จะนำเสนอความสวยงามของพื้นที่ที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยภาพความน่ากลัวของเหตุการณ์ความรุนแรงให้สังคมภายนอกได้รับรู้
“ภาพเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ที่ถูกถ่ายทอดออกไป ทำให้ความสวยงามหลายมิติในพื้นที่ ทั้งทางธรรมชาติ และความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม ถูกฝังกลบ คนภายนอกมองว่าน่ากลัว ประกอบกับ คนในพื้นที่มีความเข้าใจในเรื่องของสันติภาพ หรือหลักคำสอนของศาสนายังไม่ถึงแก่นแท้ บางคนในพื้นที่ก็ถูกสั่งสอน หรือว่าถ่ายทอดด้วยแนวคิดที่ผิด ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วหลักการอิสลามที่ถูกต้อง คือ การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข จึงเป็นที่มาที่ไปของการทำโครงการวิจัยชิ้นนี้”
นายอับดุลฆอนี กล่าวต่อว่า เนื้อหาของงานวิจัยดังกล่าว จำแนกออกเป็น 5 โครงการย่อย ได้แก่ 1. โครงการต้นแบบการเรียนรู้และนวัตกรรมชุมชนด้านคุณภาพชีวิตในสังคมพหุวัฒนธรรม โดยมัสยิดเป็นฐานในจังหวัดปัตตานี 2.โครงการต้นแบบการเรียนรู้และนวัตกรรมชุมชนด้านคุณภาพชีวิต (เศรษฐกิจชุมชนฐานราก) ในสังคมพหุวัฒนธรรม โดยมัสยิดเป็นฐานในจังหวัดปัตตานี 3.โครงการการศึกษารูปแบบและกลไกของมหาวิทยาลัยฟาฏอนี ในกระบวนการสร้างการเรียนรู้ร่วมกับมัสยิด โดยใช้โมเดลสันติภาพในจังหวัดปัตตานี 4. โครงการแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่กับการขับเคลื่อนเมืองปัตตานีแห่งเศรษฐกิจความรู้ และ 5. โครงการจัดทำแผนพัฒนาชุมชนเชื่อมโยงกับแผนยุทธศาสตร์จังหวัด ต่อการขับเคลื่อนแพลตฟอร์มการเรียนรู้โดยใช้มัสยิดเป็นแกนกลางเชื่อมโยงความร่วมมือของภาคีเครือข่าย
“เหตุผลที่เลือกขับเคลื่อนแพลตฟอร์มการเรียนรู้ โดยใช้มัสยิดเป็นแกนกลาง เป็นเพราะมัสยิดเป็นกลไกหนึ่งที่ใกล้ชิดกับคนในพื้นที่มากที่สุด โดยมัสยิดที่ถูกเลือกจะพิจารณาจากคุณลักษณะที่สามารถเป็นตัวอย่างให้แก่มัสยิดอื่น ๆ นำไปขยายผลได้ ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายแห่งกระจายอยู่ใน 7 อำเภอ 10 ชุมชน เช่น มัสยิดสุลตานมูซัฟฟาร์ซาห์ หรือ มัสยิดกรือเซะ ที่มีความโดดเด่นในมิติเชิงพหุวัฒนธรรม มัสยิดอัตตะอาวุน ซึ่งโดดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์วิถี และความเป็นสื่อกลางที่สร้างความเข้าใจสังคมพหุวัฒนธรรม หรือมัสยิดตะลุบัน ซึ่งมีความโดดเด่นด้านกระบวนการจัดการการคลังชุมชนเพื่อชุมชน พัฒนาคุณภาพชีวิตสู่สันติในสังคมพหุวัฒนธรรม รวมทั้ง มัสยิดนูรุลชารีฟ ซึ่งมีกองทุนคิดมัต เป็นกองทุนช่วยเหลือสาธารณประโยชน์ ที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นสถาบันการเงินของชุมชน”
นายอับดุลฆอนี กล่าวเพิ่มเติมว่า การวิจัยครั้งนี้เราได้นวัตกรชุมชนที่เป็นตัวแทนในแต่ละชุมชนที่ถูกคัดเลือกมา มีทั้ง อิหม่าม หรือโต๊ะอิหม่าม เจ้าอาวาส ผู้นำทางศาสนา ผู้นำชุมชน เยาวชน ครู นักธุรกิจ และสมาชิกในชุมชนอีกหลากหลายอาชีพ โดยเขาเหล่านี้สามารถถ่ายทอดในเรื่องของสันติภาพ แต่อาจจะมีทักษะบางอย่างที่จะต้องเข้าไปสร้างหรือพัฒนาในเรื่องขององค์ความรู้และวิธีการเพื่อจะทำให้ชุมชนได้รับการพัฒนาที่เร็วขึ้น
สำหรับส่วนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยชิ้นนี้ คณะผู้วิจัย ได้เข้าไปถ่ายทอดองค์ความรู้การบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ในพื้นที่มัสยิดกลางปัตตานี ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างรายได้แก่มัสยิด ขณะเดียวกัน ก็นำองค์ความรู้ไปช่วยจัดระเบียบการบริหารจัดการกองทุนคิดมัต ของ มัสยิดนูรุลชารีฟ ให้เกิดประโยชน์ในการช่วยเหลือดูแลคนในชุมชนได้อย่างมั่นคง รวมทั้งยังได้นำองค์ความรู้จากงานศึกษาวิจัยแบบที่ชาวบ้านมีส่วนร่วมไปช่วยพัฒนามัสยิดอื่น ๆ ในพื้นที่ นอกจากนี้ ก็ยังบูรณาการความรู้ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ในการสร้างสันติสุขในพื้นที่ให้มีความยั่งยืน
ทั้งนี้ โครงการวิจัยข้างต้น ยังได้รับการต่อยอดขยายผล ด้วยการนำไปเป็นส่วนหนึ่งในแผนยุทธศาสตร์ระดับจังหวัด หรือเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาชุมชน แผนพัฒนามัสยิด หรือแม้กระทั่งถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาองค์กรระดับจังหวัด โดยมี คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการมัสยิด เป็นกลไกเชื่อมโยง
นายเฟาซาน อัลฟารีตี หนึ่งในนวัตกรชุมชน จาก มัสยิดอีบาดุรเราะห์มาน (บราโอ) ต.ปูยุด อ.เมือง จ.ปัตตานี กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณทาง บพท. และ มหาวิทยาลัยฟาฎอนี ที่ได้ส่งมอบสิ่งดี ๆ จากงานวิจัยให้กับมัสยิดและชุมชน ซึ่งถือว่าทรงคุณค่าและมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
“ผลจากงานวิจัยทำให้มีการถอดบทเรียนที่มีอยู่เดิมในการเป็นแบบอย่างให้กับมัสยิดหรือชุมชนอื่น ๆ ได้เข้ามาศึกษาดูงาน เนื่องจากมัสยิดแห่งนี้ถือเป็นแบบอย่างในการเผยแพร่ศาสนาที่ถูกต้อง ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงคนที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่ยังทำให้คนต่างศาสนาอื่น ๆ ได้เข้าใจในหลักของศาสนาอิสลามที่ถูกต้องด้วย อีกทั้งยังทำให้เกิดการบริหารจัดการด้านการถ่ายทอดองค์ความรู้ ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น”