หลังจากที่กัญชาและกัญชงถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติด เปิดทางสู่การเป็นพืชเศรษฐกิจ ตลาดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชาคึกคักและขยายตัวอย่างรวดเร็ว มีทั้งชากัญชา กาแฟกัญชา ตลอดจนตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติที่จำหน่ายเครื่องดื่มที่มีกัญชาผสม ปัจจุบันกัญชาจึงกลายเป็นเครื่องดื่มที่เข้าถึงง่าย และกระจายสู่ผู้บริโภคทุกกลุ่ม
ข้อมูลจากการประชุมวิชาการศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) เพื่อการพัฒนาศักยภาพการวิจัย และนักวิชาการการเสพติด ครั้งที่ 9 ที่ผ่านมา เผยว่า คนไทยที่ใช้กัญชามีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบเท่าตัว โดยผลสำรวจล่าสุด (ปี 2564) มีคนไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ใช้กัญชาจำนวนถึง 1.89 ล้านคน หรือคิดเป็น 4.3% เทียบกับผลสำรวจเมื่อปี 2563 ที่มีผู้ใช้กัญชาอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านคน
เทรนด์การบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา ทำให้แพทย์และนักวิจัยด้านสารเสพติดหลายท่านรู้สึกกังวลถึงผลกระทบของสาร THC ในกัญชา ที่หากผู้บริโภคได้รับในปริมาณที่สูงและต่อเนื่อง ก็อาจจะส่งผลต่อพัฒนาการของสมอง เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า จิตเภท หลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งอัณฑะ เป็นต้น
รองศาสตราจารย์ ดร.เกื้อการุณย์ ครูส่ง อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำร่องศึกษาวิจัยหาปริมาณสาร ∆9-THC หรือ delta9-tetrahydrocannabidol ในเครื่องดื่มกัญชาที่จำหน่ายในร้านขายเครื่องดื่มทั่วไป เพื่อหาว่ามีปริมาณสาร ∆9-THC เกินกว่าที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดหรือไม่
“เมื่อมีการนำกัญชามาเป็นส่วนประกอบในอาหารและเครื่องดื่มอย่างเสรี ทำให้คนทั่วไป รวมถึงเด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย สื่อหรือโฆษณาต่างๆ ก็มักพูดถึงแต่ข้อดีของกัญชา ไม่ว่าจะเป็นการนำมาใช้ทางสันทนาการ หรือนำมารักษาโรค โดยลืมไปว่าผลเสียหรือโทษของกัญชาก็ยังคงมีอยู่ หากได้รับในปริมาณที่เกินกำหนด แพทย์หลายท่านออกมาเตือนว่า ไม่ให้เด็กรับประทานโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจส่งผลต่อระบบประสาท สมอง และพัฒนาการของเด็ก รวมทั้งจิตแพทย์ก็ชี้ว่า สาร ∆9-THC ในกัญชามีผลต่อสุขภาพจิต สมาธิ และเรื่องของภาวะอารมณ์ด้วย”
รศ.ดร.เกื้อการุณย์ เล่าถึงที่มาของโครงการวิจัย ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัย จาก ศูนย์ศึกษาปัญหาการเสพติด (ศศก.) ว่า โครงการวิจัยครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่เข้ามาร่วมวิจัย อาทิ รองศาสตราจารย์ พญ.รัศมน กัลยาศิริ จาก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และผู้อำนวยการ ศศก. เป็นที่ปรึกษางานวิจัย รองศาสตราจารย์ ภญ.ดร.สรกนก วิมลมั่งคั่ง ภาควิชาเภสัชเวทและเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งทำวิจัยเกี่ยวกับกัญชาและสารธรรมชาติจากกัญชาอยู่ก่อนแล้ว เข้ามาช่วยให้คำแนะนำ ศาสตราจารย์ ดร.อรวรรณ ชัยลภากุล และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชฎิล กุลสิงห์ จาก ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ มาช่วยดูเรื่องปริมาณสาร ∆9-THC ในเครื่องดื่มที่เก็บตัวอย่างมา
ซึ่งผลการสุ่มตรวจปริมาณ ∆9-THC ในเครื่องดื่มกัญชา คณะผู้วิจัยได้เก็บตัวอย่างเครื่องดื่มกัญชาและเครื่องดื่มที่ผสมกัญชา ที่ขายอยู่ทั่วไปในร้านขายเครื่องดื่ม และคาเฟ่ต่างๆ ในกรุงเทพมหานคร 30 กว่าตัวอย่าง มีทั้งเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ โซดา และประเภทที่ใส่นม โดยกรรมวิธีการตรวจสอบตัวอย่างเครื่องดื่มนั้น ใช้วิธีมาตรฐานระดับสากลที่ใช้ตรวจหาสาร ∆9-THC ในอาหาร ได้แก่ เทคนิคที่เรียกว่า GC-MS (Gas chromatography-Mass spectroscopy) ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้แยกและระบุสารต่างๆ ภายในตัวอย่างทดสอบ และ HPLC (High Performance Liquid Chromatography) ในการแยกสารผสมและการหาเชิงปริมาณของสารเป้าหมาย โดยใช้เครื่องสูบแรงดันสูง (high pressure pump)
“ถามว่าเพราะอะไร จึงเก็บตัวอย่างเฉพาะเครื่องดื่มกัญชาจากร้านทั่วไป คือ หากเป็นเครื่องดื่มกัญชาประเภทสำเร็จรูป พวกนั้นจะมีการขอ อย. และมีฉลากแสดงชัดเจนว่า มีส่วนประกอบของสาร ∆9-THC ปริมาณเท่าไรต่อ 100 มิลลิลิตร หรือต่อ 1 หน่วยบริโภค แต่เครื่องดื่มที่ขายในร้านประเภทคาเฟ่ ส่วนมากสูตรของเครื่องดื่มจะทำกันขึ้นเอง แม้กระทั่งเมนูเดียวกัน ก็ไม่อาจแน่ใจได้เลยว่า แต่ละแก้วมีปริมาณสาร ∆9-THC เท่ากันหรือเปล่า ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว”
“เครื่องดื่มที่สุ่มตรวจส่วนใหญ่ มีสาร ∆9-THC ในปริมาณที่ไม่เกินจากที่สาธารณสุขกำหนด แต่ราว 30 % พบว่า มีปริมาณสาร ∆9-THC เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือแนะนำให้ไม่เกิน 0.015 มิลลิกรัม ต่อ 100 มิลลิลิตร ซึ่งหากผู้บริโภคเจอร้านหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณสาร THC เกินกำหนดเหล่านี้ ก็จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้สาร ∆9-THC”
อย่างไรก็ดี งานวิจัยไม่สามารถเปิดเผยหรือระบุว่าเป็นเครื่องดื่มใด จากร้านใด มีปริมาณสาร ∆9-THC เท่าไร แต่อาจนำเสนอในรูปแบบรายงานของ ศศก. ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำหรับงานด้านนโยบายต่อไปในอนาคต ขณะนี้ งานวิจัยสำหรับปีนี้ (2565) ใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และในอนาคต คาดว่า จะวิจัยโดยมีการเก็บตัวอย่างมากขึ้น อาจจะเป็นการขยายพื้นที่เก็บตัวอย่างไปยังส่วนภูมิภาค หรือเก็บตัวอย่างในอาหารชนิดอื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากเครื่องดื่ม
สำหรับผู้บริโภคที่รู้สึกเป็นกังวล ถึงปริมาณของสาร ∆9-THC ที่ได้รับต่อวัน ด้วยประเทศไทยยังไม่เคยมีการกำหนดหรือมีข้อแนะนำว่า ควรหรือไม่ควรบริโภคในปริมาณเท่าไรต่อวัน ยกตัวอย่างเช่น ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่ควรบริโภคเกินกี่ไมโครกรัม หากเกินกว่านั้นอาจได้รับผลข้างเคียง เป็นต้น ซึ่งแม้แต่ในต่างประเทศเองก็ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะยังไม่มีงานวิจัยในเรื่องผลระยะยาวจากการบริโภค ทั้งนี้ อาจจะกำหนดการบริโภคเครื่องดื่มกัญชา หรือที่มีส่วนผสมของกัญชา ให้เหมือนเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง ที่มีคำเตือนที่คุ้นหูว่า ไม่ควรดื่มเกินวันละ 2 ขวด เป็นตัวอย่าง
“แม้แต่ร้านค้าหรือผู้ประกอบการเอง ปัจจุบันก็น่าจะยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าห้ามไม่ให้มีปริมาณสาร ∆9-THC เท่าไรต่อเครื่องดื่ม 1 แก้ว หรือต่อให้ทราบ ก็ไม่น่าจะสามารถควบคุมปริมาณได้ เพราะไม่เคยมีการตรวจ อีกทั้งกรรมวิธีที่ใช้ในการผลิตของแต่ละร้านก็ต่างกัน หากใช้ใบนำมาต้มผสมเครื่องดื่ม อันนั้นอาจจะไม่ค่อยน่าห่วง เพราะได้ปริมาณสาร ∆9-THC ออกมาค่อนข้างน้อย แต่ถ้ามีการสกัดด้วยความร้อน หรือใช้เป็นน้ำมันสกัด อันนั้นน่ากังวลมาก และไม่มีทางที่ผู้ประกอบการจะรู้เลยว่า อาหารหรือเครื่องดื่มของตนต่อ 1 serve มีปริมาณ ∆9-THC เท่าไร”
ด้วยเหตุนี้ แนะนำให้ผู้ที่ต้องการทดลองดื่มเครื่องดื่มที่ผสมกัญชาหรือกัญชงให้ใช้ความระมัดระวังและบริโภคแต่น้อย เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับสาร ∆9-THC มากจนเกิดอันตราย และไม่แนะนำเด็ดขาดสำหรับเด็กในวัยเรียน เนื่องจากยังไม่ทราบผลในระยะยาว สำหรับร้านที่ขายเครื่องดื่มกัญชาหรืออาหารที่ผสมกัญชา ควรมีป้ายหรือประกาศแจ้งให้ผู้บริโภครับทราบอย่างชัดเจน เพื่อผู้ที่ไม่ต้องการบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมกัญชา และผู้ปกครองจะได้ระมัดระวัง
แม้ในปัจจุบัน กัญชา และกัญชง จะได้รับการปลดล็อคถอดออกจากบัญชียาเสพติดแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า จะสามารถใช้ได้โดยทั่วไปอย่างเสรี หากมีปริมาณสาร ∆9-THC เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก ตามประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ก็ยังถือว่าเป็นยาเสพติด ดังนั้น ผู้บริโภคควรระมัดระวังในการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ผสมกัญชาหรือสารสกัดจากกัญชา เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากกัญชาที่อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว